“ผ่าประเด็นร้อน”
วันพุธที่ 30 ก.ย.จะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตข้าราชการของคนที่อายุครบ 60 ปีในปีนี้ ถือว่าปลดเกษียณได้เวลาพักผ่อนหลังทำงานรับใช้ประเทศชาติมานานหลายสิบปี ถึงวันถอดเครื่องแบบข้าราชการออกไปเป็นประชาชนธรรมดาบ้าง ก็จะทำให้ได้รู้รสชาติของคนธรรมดาสามัญที่ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจ แต่ต้องมีภาระหน้าที่หาเงินเสียภาษีแก่ประเทศชาติ
ได้รู้กันแน่คราวนี้ ว่ามันจะมีชีวิตที่แตกต่างจากการเป็นข้าราชการ ที่เคยแต่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนอย่างไร ?
ในระหว่างอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ ข้าราชการจำนวนไม่น้อย ที่มีชีวิตเกลือกกลั้วกับการรับส่วย “กินสินบน” ด้วยการรีดไถประชาชนและลูกน้องในหน่วยงาน กลุ่มคนพวกนี้จะรู้สึกใจหาย เมื่อหมดเวลาอยู่ในเก้าอี้ และอำนาจก็หายไปในวันเกษียณอายุราชการ
เพราะต่อจากนี้ ชีวิตที่เหลืออยู่...จะไม่สามารถชี้นิ้วสั่งใครให้เอาโน่น เอานี่มาประเคนให้อีกได้
คนที่รู้จักพอก็คงไม่ทุกข์มาก แต่คนที่ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ ก็จะต้องขวนขวายหาอำนาจใหม่มาให้ตนเองต่อไป เป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นในวัยใกล้ลงโลงของข้าราชการเกษียณ
ยิ่งคนที่มีชนักติดหลัง ด้วยที่ประพฤติชั่วมาตลอดชีวิตเป็นข้าราชการ ก็จะหาทางปกปิดปัดป้องไม่ให้ความจริงอันชั่วร้ายเลวทรามของตนโดนแฉออกมา
โดยเฉพาะพวกที่มีฐานะร่ำรวยเป็นเศรษฐีร้อยล้าน พันล้าน ที่เรียกกันว่าร่ำรวยผิดปกติ เพราะได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานเอื้อประโยชน์ให้ตนเอง ด้วยการทุจริตต่อแผ่นดิน ทำการ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” กอบโกยทรัพย์สินเงินทองไว้เยอะ
ก็คงไม่มีความสุขในบั้นปลายชีวิตเท่าไร
เนื่องจากต้องหาทางปกปิดซ่อนเร้นทรัพย์สินจากการถูกตรวจสอบจากองค์กรของรัฐอย่าง “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.” เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี หลังเกษียณที่ป.ป.ช.มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน และทั้งจากสื่อมวลชน ที่สามารถตรวจสอบได้ไม่มีเงื่อนเวลาบังคับ จะกระชากหน้ากากข้าราชการสันดานโกง ออกมาตีแผ่ให้สังคมรับรู้เมื่อไรก็ได้ และเกียรติภูมิของ ขรก.คนโกงก็จะพังลงทันที
ตัวอย่างของข้าราชการที่อำนาจใกล้หมด ความชั่วก็โผล่นั้น มีให้ได้รับรู้ในตอนนี้แล้ว คือกรณี “นายทหารยศพลเอก” คนหนึ่งในสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทยใช้อำนาจหน้าที่ของตนบังคับขืนใจลูกน้อง ข่มขืนกระทำชำเรา “นายทหารหญิง” ลูกน้อง ในสายงานต่อเนื่องมาเป็นนานถึง 4 ปี
ถือว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความชั่วร้าย และความไร้จริยธรรมอย่างหนักของทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพไทยวันนี้ และอดคิดไม่ได้ว่า รายนี้คงไม่ใช่รายเดียว หรือรายสุดท้ายที่เกิดเหตุ “กินสินล่าง” ในหน่วยราชการ
ในขณะที่คนทำชั่วอยู่ในอำนาจ เหยื่อกามารมณ์ไม่กล้าออกมาเปิดเผย เป็นห้วงเวลาแห่งการอดทน เก็บความเจ็บปวดรวดร้าวไว้กับตัวเองและครอบครัวอย่างน่าเห็นใจยิ่ง แต่วันนี้ความชั่วของนายทหารใจทราม กำลังถูกเปิดโปงออกมาแล้ว เพราะคนชั่วกำลังจะออกจากอำนาจ
กรณีนี้ทหารกระทำความผิดต่อทหาร ตามกฎหมายต้องขึ้นศาลทหาร แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของทหาร หรือ กองทัพ มันเป็นปมปัญหาทางศีลธรรม และอาชญากรรมที่ร้ายแรงทางสังคม
ดังนั้น กองทัพจะต้องรีบเร่งจัดการเอาคนผิดออกมาประจาน และลงโทษตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้แบบอย่างไม่ดีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก
คนที่มีเรื่องฉาวโฉ่ ที่เกษียณอายุราชการในปีนี้ เห็นจะไม่มีใครโด่งดังเท่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว พล.ต.อ.พัชรวาท น่าจะถูกไล่ออก หรือปลดออก ก่อนวาระเกษียณด้วยซ้ำ
จากคดี 7 ตุลาฯ ทมิฬ ที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรง และคดีอาญา ม.157 แก่ พล.ต.อ.พัชรวาท
แต่อำนาจการเมือง ได้ให้ความช่วยเหลือไว้อย่างเต็มที่ อาศัยช่องทางกฎหมายยื้อเวลาการลงโทษไปจนกว่า พล.ต.อ.พัชรวาท จะได้เกษียณอายุราชการตามปกติ จึงมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
มิหนำซ้ำ หลายวันก่อน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ยังได้มอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ว่าเป็นผู้ มีคุณงามความดี และมีคุณูปการต่อวงการตำรวจ แบบค้านสายตาสังคม
ทั้งๆ ที่ระหว่างเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร.นั้น พล.ต.อ.พัชรวาทไม่เคยทำงานที่เป็นประโยชน์แก่สังคมเลยสักเรื่อง โดยเฉพาะการทำงานสนองต่อรัฐบาลก็มีปัญหาบกพร่องมาหลายครั้ง เช่น ปล่อยให้กลุ่มคนเสื้อแดงบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่เมืองพัทยา และเหตุการณ์รุมล้อมกรอบหมายฆ่านายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ที่กระทรวงมหาดไทย
ถ้ายุคนี้ไม่ใช่ยุคมืด หัวหน้าตำรวจทำงานผิดพลาดซ้ำซากแบบนี้ ต้องถูกสอบสวนเอาผิด ไม่ใช่มามอบโล่ประกาศเกียรติคุณกันในภายหลัง
ยังมีอีกหลายคดี นอกจากคดีที่ชัดเจนแล้วอย่างคดี 7 ตุลาทมิฬ ก็ยังมีอีกหลายปมที่ส่อว่า พล.ต.อ.พัชรวาท มีการกระทำผิดในหน้าที่ เช่น กรณีเป็นเจ้าของรีสอร์ตไม้สักทอง มูลค่ากว่าร้อยล้านบาท ที่ซุกไว้ในชื่อลูกสาวทั้งสองคน กำลังเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ และกรณีเรียกรับผลประโยชน์จากการแต่งตั้งตำรวจ ที่อนุกรรมการ ก.ตร. สอบเสร็จแล้ว
พบว่าจากการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจชั้นสัญญาบัตร พล.ต.อ.พัชรวาท สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตำรวจสัญญาบัตรมากถึงสองพันกว่าคน ในเวลาที่อยู่บนเก้าอี้ ผบ.ตร.เพียงแค่ 9 เดือนเศษ และส่อว่ามีการแสวงหาประโยชน์จริง อนุกรรมการ ก.ตร.จึงมีข้อเสนอให้ตั้งกรรมการสอบเอาผิดวินัยร้ายแรงแก่ พล.ต.อ.พัชรวาท และลิ่วล้อ
แต่ในการประชุม ก.ตร.เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา ประธาน ก.ตร.คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รีบถอนวาระนี้ออกไป
เป็นแผนอุ้ม พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่ให้โดนสอบวินัยร้ายแรงอีกครั้ง เพราะหลังวันที่ 30 ก.ย.ซึ่ง พล.ต.อ.พัชรวาท ปลดประจำการไป เรื่องเอาผิดวินัยฯ ก็ต้องตกไปด้วย ก็เหลือเฉพาะที่จะเอาผิดได้ คือ “ลิ่วล้อ” ในขบวนการรับส่วยจากการซื้อขายตำแหน่ง ที่ยังรับราชการอยู่เท่านั้น กาหัวตั้งแต่ “อีจ๋อย” ลงมา พวกนี้ถือว่า “ซวยเพราะนาย” จะต้องรับกรรมแทนนายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าบาปบุญคุณโทษมีจริง พวกที่รับส่วยประพฤติชั่วโดยใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการ ไม่ว่าจะเป็นการ “กินสินล่าง หรืองาบสินบน” สักวันบั้นปลายชีวิตหลังเกษียณของคนเหล่านี้คงหนีคุกไปไม่พ้น