“ยะใส” เชื่อข่าวปั่นกระแส “แกนนำพันธมิตรฯ-วีระ” แตกคอกัน แค่หวังดิสเครดิตการเมือง ยันแกนนำพันธมิตรฯ ไม่เคยปล่อยลอยแพ “วีระ” ทวงคืนพื้นที่ 4.6 ตร.กม. แค่ข่าวลือหวังทำลายความชอบธรรม สกัดดาวรุ่งคะแนนเสียงพรรคการเมืองใหม่ ย้ำ แกนนำเป็นห่วงพี่น้องทุกคน สั่งกำชับความปลอดภัย แต่ดันถูกม็อบเถื่อนดักทำร้าย ท่ามกลางสายตา จนท.นิ่งเฉย จวกอัดสื่อจอมบิดเบือน ชอบมั่วข่าว ทั้งที่ไม่เคยให้สัมภาษณ์กลับเต้าข่าวให้สื่อสำนักอื่นลอก ถือว่าไร้จรรยาบรรณ
เมื่อวานนี้ (20 ก.ย.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์กับทางรายการก่อนจะถึงวันจันทร์ ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ซึ่งมี นายณัฐวุฒิ มิตรมาก และ น.ส.กมลพร วรกุล เป็นผู้ดำเนินรายการ ในกรณีที่มีสื่อมวลชนหลายแขนงพยายามนำเสนอประเด็นข่าวว่าคนไทยตีกันเอง จากการที่ นายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหาร ได้นำประชาชนจำนวนหนึ่งไปทวงคืนพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ที่ จ.ศรีสะเกษ และระหว่างการเดินทางกลับนั้น ได้ถูกม็อบจัดตั้งป่าเถื่อน “ภูมิซรอล” คอยดักทำร้าย จนเกิดการปะทะกัน นำพาให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ นายสุริยะใส กล่าวต่อกรณีนี้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นตนคิดว่ามาจากความบกพร่องของทางเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ที่ปล่อยให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้น ทั้งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์ส่วนรวมของคนไทยทั้งประเทศ แต่รัฐบาลกลับนิ่งเฉยและละเลย ไม่ใส่ใจแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเขาพระวิหารให้ได้ข้อยุติ
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า เรื่องดังกล่าวถูกนำมาเป็นประเด็นบิดเบือนความจริง ทำให้เกิดเงื่อนไขในการทำให้คนไทยเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน ซึ่งภาพเหตุการณ์วันนั้น ที่ปรากฏตามสื่อแขนงต่างๆ ตนเห็นว่า ไม่ควรเกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง โดยสมมติว่า อีกฝ่ายปล่อยให้ทางเครือข่ายประชาชน เดินขบวนมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมาย เพื่อยื่นหนังสือหรือเจรจากับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองด้วยความสงบ ปัญหาต่างๆ คงไม่เกิดขึ้น เพราะจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีความพยายามจัดตั้งม็อบที่เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ มารอดักทำร้ายทางเครือข่ายประชาชนอย่างจงใจ รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐก็มีส่วนร่วมรู้เห็น ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ทางรัฐบาลไม่ควรปฏิเสธความรับผิดชอบ รวมทั้ง ทางผู้ว่าฯ จ.ศรีสะเกษ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐ ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วย โดยอาจจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความชัดเจน เนื่องจากตนคิดว่าไม่ว่าพี่น้องประชาชนที่ไปจะเป็นพันธมิตรฯ หรือไม่ก็ตาม ถือได้ว่าเป็นผู้เรียกร้องตามสิทธิและหน้าที่ตามกรอบของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนพึ่งกระทำ คือ การออกไปปกป้องและรักษาดินแดนประเทศของตนเองไว้ทุกตารางนิ้ว เพื่อเป็นการรักษาอาณาธิปไตยของชาติ
ส่วนประเด็นที่หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า นายวีระ และคณะที่ไปเป็นในนามของพันธมิตรฯ หรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า ชื่อเครือข่ายประชาชนดังกล่าว ถือเป็นเรื่องทางเทคนิค เนื่องจากที่ผ่านมา ชัดเจนว่า การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ จะต้องเป็นในนามของ 5 แกนนำพันธมิตรฯ เท่านั้น ดังนั้น การเคลื่อนไหวของการนายวีระครั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ไม่ได้เป็นมติจากทาง 5 แกนนำพันธมิตรฯ โดยตรง แต่ นายวีระ มีสิทธิ์ดำเนินการเรื่องดังกล่าวได้ เพราะเป็นผู้ที่เคยลงพื้นที่บริเวณดังกล่าวมาแล้ว ประกอบกับติดตามข้อมูลกรณีนี้รอบด้าน ฉะนั้น ทางแกนนำพันธมิตรฯ จึงไม่ได้ทักท้วงอันใด รวมทั้งอีกสาเหตุที่ทำให้ต้องไปในนามเครือข่ายประชาชน เนื่องจากมีกลุ่มคนหลากหลายองค์กรมาร่วมทวงคืนพื้นที่ดังกล่าวด้วย ไม่ได้มีแค่พันธมิตรฯ เท่านั้น ซึ่งกลุ่มคนหรือองค์กรที่ไม่ได้เป็นพันธมิตรฯ ก็อาจมีจุดยืนและทัศนคติต่อกรณีอื่นๆ ที่แตกต่างกัน ดังนั้น จะมาเหมารวมเป็นพันธมิตรฯ ทั้งหมดคงจะไม่ได้ หากจะถือเป็นพันธมิตรฯ จริง ต้องไปร่วมอุดมการณ์ด้วยการชุมนุมในหลายครั้งที่ผ่านมา
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ตน และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรฯ ขอยืนยันว่า ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ปล่อยลอยแพนายวีระ ต่อกรณีทวงคืนพื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใด หลังจากที่มีสื่อหลายสำนักนำเสนอประเด็นดังกล่าว จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเรื่องนี้ในความเป็นจริงแล้วมีอยู่ว่า ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น ได้ขอสัมภาษณ์ตนเรื่องการเดินทางไปทวงคืนพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ของนายวีระและคณะ แต่ตนได้ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ เนื่องจากเห็นว่าอยากให้ไปถามนายวีระเอง จะได้ข้อมูลที่รอบด้านมากกว่า เพราะตนอยู่นอกพื้นที่คงไม่สามารถให้คำตอบได้ดีกว่านายวีระที่เป็นแกนนำลงไปดำเนินการเรื่องนี้ จากนั้นผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวได้ขอเบอร์โทรศัพท์ของ พล.ต.จำลอง ไป ซึ่ง 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรฯ ก็ได้ให้คำตอบในลักษณะที่คล้ายกับตน ทั้งนี้ ด้วยมารยาทแล้วกรณีดังกล่าวสมควรจะไปถามนายวีระเอง
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า หลังจากนั้น สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น ได้ลงข่าวว่า แกนนำพันธมิตรฯ ปล่อยลอยแพนายวีระ ซึ่งพอเกิดเรื่องขึ้นตนก็ได้โทร.กลับไปหานักข่าวคนดังกล่าว เพราะพาดพิงทำให้เกิดความเสียหาย โดยจากเนื้อข่าวกลายเป็นว่าพันธมิตรฯ เกิดความขัดแย้งกัน โดยผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไอเอ็นเอ็นคนดังกล่าว ตัดสินใจลบข่าวนั้นออก แต่ก็สายไปเสียแล้ว เนื่องจากมีสื่อมวลชนจากสำนักอื่นๆ ได้คัดลอกเนื้อข่าวไปเผยแพร่ต่อ จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง รวมทั้งสื่อยักษ์ใหญ่อย่างมติชน ก็ได้ลงข่าวทำนองนี้เช่นกัน ดังนั้น ตนจึงโทร.ไปหาคนรู้จักเพื่อขอชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้รับปากจะแก้ไขให้ แต่ปรากฏว่าเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังคงเป็นพาดหัวหน้า 1 ที่ข้อมูลผิดพลาดเช่นเดิม
นายสุริยะใส กล่าวว่า จากความเข้าใจผิดดังกล่าว วันนี้ตนจึงได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเพื่อแสดงจุดยืนของทางพันธมิตรฯ โดยขอย้ำว่า ไม่ว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้จะไปในนามใดก็ตาม แต่ตนถือว่าเป็นพันธกิจที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมกันหันหน้ามารักษาอาณาธิปไตยและดินแดนของประเทศเราไว้ ส่วนเรื่องจะมีวิธีการดำเนินการเรียกร้องเรื่องนี้อย่างไร ต้องมาหารือกันอีกครั้ง ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ถือเป็นบทเรียนความผิดพลาดให้แก่ทางพันธมิตรฯ ซึ่งตนไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดใคร ส่วนที่ แกนนำพันธมิตรฯ คนอื่นๆ ไม่ไป ก็เป็นเพราะตรงกับวันที่กลุ่มคนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งทางแกนนำพันธมิตรฯ มุ่งจับตาความเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำให้ไม่ได้เดินทางไปกับนายวีระด้วย สำหรับสาเหตุที่ไม่มีการห้ามหรือท้วงติงนายวีระเรื่องนี้ เนื่องจากพันธมิตรฯ ไม่ได้เป็นองค์กร หรือบริษัทที่ใครจะสามารถสั่งการให้ทำหรือไม่ทำอะไรได้ ดังนั้น ทุกฝ่ายมีสิทธิ์และมีอำนาจในการตัดสินใจ แต่ในที่สุดแล้ว ทุกคนถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
“หลังจากเกิดเหตุรุนแรง เมื่อผมทราบเรื่องก็ได้โทร.หาเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 2 และ 3 เพื่อขอให้ช่วยคุมกันเรื่องความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชน รวมทั้งระงับเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งขอยืนยันว่า ทางแกนนำพันธมิตรฯ ไม่ได้นิ่งดูดาย หรือลอยแพอย่างที่ตกเป็นข่าว โดยข่าวที่ถูกปล่อยออกมานั้น ถือเป็นการเสี้ยมให้ทางแกนนำพันธมิตรฯ รวมทั้งนายวีระและพี่น้องประชาชน ที่เดินทางไปทวงพื้นที่ครั้งนี้ กลายเป็นคนละกลุ่มกัน หรือต้องการทำให้เกิดความเข้าใจผิด ดังนั้น ผมขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ทุกฝ่ายถือการเคารพสิทธิและความคิดของกันและกันเสมอ” นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า จากการสอบถามข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ พบว่า กองกำลังที่มาดักทำร้าย ถูกจัดตั้งด้วยชายฉกรรจ์ที่เป็นวัยรุ่น ที่มีการสื่อสารกันด้วยภาษาเขมรเป็นหลัก แต่เรื่องนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจนว่าเป็นชาวกัมพูชาทั้งหมดหรือไม่ แต่สาเหตุจริงๆ ที่นำไปสู่การชักจูงให้ก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มคนดังกล่าว อาจเป็นเพราะวันนั้นมีการจัดงานฉลองบริเวณดังกล่าวพอดี จึงมีการดื่มสุราและของมึนเมา ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้มีการปลุกระดมกันง่ายยิ่งขึ้น ส่วนสิ่งสำคัญกว่านั้น คือ เหตุการณ์ดังกล่าวมีการเตรียมแผนให้เกิดความรุนแรงไว้ล่วงหน้า รวมทั้งก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็เคยกล่าวทำนองที่ว่า พันธมิตรฯ เกิดแตกคอกันเรื่องการเคลื่อนไหวทวงคืนเขาพระวิหาร
“พวกลงมือก่อเหตุ ผมคิดว่ามีบางส่วนที่เป็นพวกเสี้ยมให้เกิดความรุนแรง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด โดยเหนือสิ่งอื่นใดเรื่องนี้ เกิดขึ้นจากการที่สื่อนำเสนอข่าวสารบิดเบือนข้อมูล และก็มีการคัดลอกข่าว โดยสำนักข่าวอื่นอย่างไม่มีการตรวจสอบความจริง มิหนำซ้ำ บางสื่อยังไม่ยอมแก้ข่าวให้ ทำให้นำไปสู่การเข้าใจผิด ก็ถือว่าเรื่องนี้มีปัญหาต่อเรื่องจรรยาบรรณของสื่อมวลชนด้วย ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะลงข้อความในสื่อฉบับใดหรือแขนงไหนก็ตาม สิ่งที่นำไปลงควรจะเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากผม แต่นี่คัดลอกกันไปดื้อๆ ทั้งที่ไม่มีเช็กข่าว ถือว่ามีเป้าหมายอย่างอื่น ไม่ใช่แค่นำเสนออย่างเดียว โดยมีตั้งธงเอาไว้แต่แรกแล้วว่า พันธมิตรฯ จะลอยแพนายวีระ ก็เลยเอาไปลงข่าวแบบนี้ ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมกับพันธมิตรฯ และนายวีระ ที่ไม่มีความขัดแย้งใดๆ ต่อกัน” นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ไม่ว่าแกนนำพันธมิตรฯ คนอื่นๆ หรือตน แม้ว่าจะอยู่กรุงเทพฯ หรือแม้แต่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เดินทางไปประเทศสหรัฐฯ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยในการลงพื้นที่ครั้งนี้ โดยสั่งกำชับให้การ์ดดูแลพี่น้องประชาชนให้ดีๆ ไม่ว่าจะไปในนามขององค์กรใดๆ ก็ตาม แต่ในฐานะที่เป็นคนไทยที่รักชาติ รักแผ่นดิน ตนคิดว่า มันเป็นหน้าที่ต้องปกป้องคนกลุ่มดังกล่าวให้ถึงที่สุด ดังนั้น ขอให้ตัดประเด็นเรื่องปล่อยลอยแพไปได้เลย ตนว่าเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น คือ การที่คนกลุ่มนี้ไปชุมนุมเพื่อเรียกร้องตามสิทธิกรอบของรัฐธรรมนูญ แต่ทำไมรัฐบาลถึงไม่คุ้มครองเรื่องความปลอดภัย ทั้งๆ ที่ นายวีระ ได้ประกาศวันเวลาชัดเจนไว้แล้วว่า จะไปเมื่อไหร่
“เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้ารัฐบาลมั่นใจว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อยู่ แต่ส่วนหนึ่งต้องยอมด้วยว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่ถิ่นของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นของพื้นที่พรรคภูมิใจไทย ดังนั้น ทางเจ้าหน้าที่รัฐ จึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนในพรรคดังกล่าว จึงอาจเป็นช่องทางทำให้มีการปล่อยปละไม่สนใจเรื่องนี้เท่าที่ควร รวมทั้งมีการฉวยโอกาสทำลายความชอบธรรมพันธมิตรฯด้วย” นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวถึงกรณีหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ลงบทวิเคราะห์ ระบุถึงกระแสข่าวว่า มีความพยายามจากฝ่ายรัฐบาลที่จะใช้ปฏิบัติการ “ไอโอ” หรือ “ไอโอ๋” เพื่อดิสเครดิตพันธมิตรฯ ว่า เรื่องนี้อาจมีความเป็นไปได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็หมายความว่า เวลานี้พวกเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยง ดังนั้น กรณีนี้ต้องเอาไปเป็นบทเรียนในการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป จะต้องมีการสื่อสารระหว่างกันที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จะได้ไม่ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ที่จ้องทำลายชื่อเสียงของพันธมิตรฯ ให้หมดความชอบธรรม ในแถบภาคอีสาน ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการตั้งพรรคการเมืองด้วย เพราะอาจมีกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มอำนาจรัฐบางกลุ่ม เอามาเป็นประเด็นใช้โจมตีพันธมิตรฯ โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต้องมีอำนาจในการสั่งการสูง และเป็นผู้ที่สามารถอ่านเกมพันธมิตรฯ ออกด้วยว่าเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน ตนจึงคิดว่านับจากนี้เป็นต้นไป พันธมิตรฯ จะต้องดำเนินการทุกอย่างเป็นความลับพอสมควร เนื่องจากอาจเกิดการแทรกซึมของผู้ไม่หวังดีก็ได้
“หลังจากที่พันธมิตรฯ ตั้งพรรคการเมือง มีกลุ่มคนบางกลุ่มพยายามแฝงตัวเข้ามาเป็นพวก ซึ่งตนไม่ขอระบุว่า เป็นผู้หวังดีหรือไม่หวังดี แต่เชื่อว่าเรื่องนี้ ถือเป็นสงครามทางการเมือง ที่ต้องการกำจัดคะแนนเสียง เพื่อเตะตัดขาพันธมิตรฯ จะได้ทำลายความน่าเชื่อถือ หลังจากที่ผ่านมา พันธมิตรฯ มีการเคลื่อนไหวในประเด็นสาธารณะ และได้รับการยอมรับมาตลอด จึงตกเป็นเป้าหมายของฝ่ายตรงข้าม” นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวปิดท้ายว่า ในช่วงกลางสัปดาห์นี้จะมีการหารือของเหล่าแกนนำพันธมิตรฯ และจะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในแนวทางเคลื่อนไหวเพื่อทวงคืนพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ดังกล่าว แต่ต้องมีการวางแผนให้รอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น รวมทั้งประเมินสถานการณ์ต่างๆ โดยขอรับรองว่า ทางแกนนำพันธมิตรฯ ทุกคนไม่ได้นิ่งเฉยกับการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ เพราะพันธมิตรฯ เป็นฝ่ายเปิดประเด็นเรื่องไทยกำลังจะเสียดินแดนให้แก่กัมพูชา ไปเมื่อตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2551 ที่ผ่านมา ในช่วงที่มีการจัดการชุมนุม