โฆษก ปชป.ดักคอเสื้อแดงอย่าปล่อยข่าวสร้างความร้าวฉาน หลังวิป 3 ฝ่ายไฟเขียว เปิดสภาฉะแก้ รธน.อัดแม้วอย่าโมเมใช้ทวิตเตอร์ตะแบงมั่วหลักกฎหมาย เพื่อช่วยเหลือตัวเองให้พ้นผิด
วันนี้ (10 ก.ย.) ที่รัฐสภา นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีวิป 3 ฝ่ายมีมติเพื่อกำหนดกรอบการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อรับฟังความคิดเห็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้มีการอภิปรายทั่วไปโดย ไม่ต้องมีการลงมติ ในวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมให้ความร่วมมือในการปฏิรูปการเมือง เพื่อสร้างความปรองดอง โดยใช้กลไกของรัฐสภา และเชื่อว่า หากประเทศใช้กลไกดังกล่าว จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย และมีผลโดยตรงต่อการเตรียมความพร้อมในการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซึ่งขณะนี้ทั้ง 16 ประเทศได้ให้การตอบรับมาแล้ว จึงอยากเรียกร้องทุกฝ่ายให้ร่วมกันรักษาความสงบของบ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม พรรคยังมีความห่วงถึงความพยายามจุดชนวนเหตุด้วยการปล่อยข่าวขัดแย้งของกองทัพ หรือการพยายามปลุกผีปฏิวัติ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ปราศจากความเป็นจริง แต่เมื่อกระจายไปในต่างประเทศแล้ว จะกระทบความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขอเรียกร้องให้กลุ่ม นปช.อย่าทำอย่างในอดีต คือ นำปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ ไปทำให้เกิดการกระจายต่อชาวโลก ด้วยการยื่นเรื่องที่ไม่มีความเป็นจริงต่อองค์กรระดับนานาชาติอย่างที่เคย
นพ.บุรณัชย กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ ป.ป.ช.มีมติกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค.นั้น พรรคเห็นว่า ถือเป็นดุลพินิจขององค์การอิสระ ขณะเดียวกันก็รู้สึกเห็นใจ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องรักษากฎหมาย ซึ่งขอรับรองว่ากฎหมายจะให้ความคุ้มครอง เจ้าหน้าตำรวจที่ปฏิบัติตามคำสั่งที่เป็นไปตามกฎหมาย จึงไม่อยากให้กรณี มติ ป.ป.ช.ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหวั่นไหว ในการปฏิบัติหน้าที่ทุกระดับ
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่มีการรายงานข่าวการพิจารณาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โพสต์ในทวิตเตอร์ว่า มาตรฐานสากลของประเทศนั้น หากการบังคับใช้กฎหมายนำไปสู่ความไม่สงบในบ้านเมือง ก็จะเลือกวิธีไม่บังคับใช้กฎหมายเพื่อรักษาความผาสุขของบ้านเมือง ซึ่งมีการยกกรณีเปรียบเทียบจากทางสำนักงานอัยการสูงสุด 3 กรณีนั้น ทางพรรคเข้าใจว่า เป็นการเปรียบเทียบความเหมาะสมมากกว่า แต่จะเปรียบเทียบกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ต้องการให้กระบวนการยุติธรรมเดินต่อไปคงไม่ได้ และยืนยันว่าปัญหาบ้านเมืองทุกฝ่าย มีหน้าที่รักษาความสงบและเสริมระบบยุติธรรมด้วย โดยเฉพาะรัฐบาล และหน่วยงานยุติธรรมที่มีความเข้าใจว่า สามารถให้มีการไม่บังคับใช่กฎหมายเป็นกรณีๆ ได้ ยืนยันว่า หน่วยงานทั้งหมดต้องรักษากฎหมายของบ้านเมือง ให้เกิดความเป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ ดังนั้น ข้ออ้างของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นกลับกันกับความเป็นจริง เพราะความไม่สงบของบ้านเมืองนั้นเกิดจากกการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมรับให้มีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม ไม่ใช่การรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมทำให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมืองอย่างที่กล่าวอ้าง