ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งรับคำฟ้อง “สมชาย” ยื่นฟ้อง ป.ป.ช.หลังมีมติชี้มูลเอาผิดอาญา ฐานสั่งเข่นฆ่า ปชช.กรณีไม่รอฟังคำสั่งของคณะกรรมการวินิจฉัยเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร อีกทังผู้ฟ้องใช้อำนาจ ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง
วันนี้ (9 ก.ย.) ศาลปกครองกลาง องค์คณะที่ 13 ซึ่งมี นายอนุวัฒน์ ธาราแสวง ตุลาการหัวหน้าคณะและตุลาการเจ้าของสำนวน มีคำสั่งรับฟ้องคดีที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ เลขาธิการ ป.ป.ช.ผู้ถูกฟ้อง ที่มีคำสั่งกำหนดวันพิจารณาและชี้มูลความผิด คดีสั่งสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 โดยมิชอบด้วยกฎหมาย พร้อมทั้งปฏิเสธไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีได้ตรวจสอบเอกสารในสำนวนคดี และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการวินิฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร จึงขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2552 และให้ผู้ฟ้องคดีได้มีโอกาสตรวจพยานหลักฐานในสำนวนตามสมควร ขอให้ศาลสั่ง ป.ป.ช.ชะลอการลงมติชี้มูลความผิดผู้ฟ้องคดีจนกว่าจะได้ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการวินิจฉัยเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาสังคมการบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย และสั่งให้การกำหนดวันชี้มูลความผิดแก่ผู้ฟ้องคดีในวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่า ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 บัญญัติให้ศาลปกครอง มีอำนาจพิจารณาพิพากษา หรือมีคำสั่งในเรื่องคดีพิพาทเกี่ยวกับการ ที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ในกรณีนี้ผู้ถูกฟ้องที่ 1 หาได้กระทำในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่อย่างใด แต่เป็นการกระทำในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ คดีพิพาทอันสืบเนื่องจากการกระทำหรืองดเว้นการกระทำดังกล่าว จึงไม่ใช่คดีที่อยู่ในอำนาจพิจาณาพิพากษาของศาลปกครอง
ส่วนกรณีที่ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือลงวันที่ 7 พ.ค.2552 ขอตรวจสอบหรือขอทราบเอกสารหรือพยานบุคคลต่อผู้ถูกฟ้องที่ 1 เพื่อขอใช้เป็นหลักฐานในการแก้ข้อกล่าวหา หลังผู้ถูกฟ้องที่ 1 ชี้มูลความผิดผู้ฟ้องคดีฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายกับผู้หนึ่งผู้ใด ในกรณีสั่งสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 แต่ทางผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช.ลับ ที่ ปช.0014/3233 ลงวันที่ 15 พ.ค.2552 โดยปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้กับผู้ถูกฟ้องคดีตามคำขอ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีหนังสืออุทธรณ์คำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ซึ่งเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ แต่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กลับไม่รอฟังผลการพิจารณาของคณะกรรมการ โดยจะทำการพิจาณาและชี้มูลความผิดของผู้ถูกฟ้องในวันที่ 7 ก.ย.2552 การกระทำของผู้ถูกฟ้องจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ควรรับไว้พิจารณา เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง