นายกฯอภิสิทธิ์ บรรยายให้นักศึกษาหลักสูตรพัฒนาการเมือง กกต.กลับปิดห้องห้ามสื่อเข้าฟัง ย้ำปัญหาขัดแย้งเกิดจากคนคิดว่าเสียงข้างมากชนะ ทั้งใช้กฎหมายเข้าห้ำหั่นกันเอง ชี้ทางออก ไม่ว่าทางไหนทุกฝ่ายก็ไม่พอใจ แนะถอยคนละก้าว เห็นต่างเขตใหญ่ดีกว่าเขตเดียวเบอร์เดียว ชี้ต้องทำประชามติก่อน พร้อมงัด 3 เงื่อนไขเงื่อนปมยุบสภา ลั่นต้องแก้ปัญหาให้ได้ก่อนตัดสินใจ ขณะที่ “เด็จพี่” ยื่นหนังสือฟ้องสอบ “ศิริโชค”
วันนี้ (31 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเป็นวิทยากรบรรยายให้กับนักศึกษาหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง ของสำนักงาน กกต.ในหัวข้อ “การเมืองไทยบนสถานการณ์การขัดแย้ง” ปรากฏว่า ในช่วงเช้าก่อนถึงเวลา ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้มีการจัดเตรียมในเรื่องการรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะทางเข้าออกอาคารสำนักงานศูนย์ราชการ อาคารบี ได้มีการนำแผงเหล็กมากั้นสองชั้น เพราะเกรงจะมีกลุ่มบุคคลมาเคลื่อนไหวในช่วงที่นายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึง
อย่างไรก็ตาม ในการบรรยายครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอให้เป็นเรื่องของการศึกษา โดยไม่ให้สื่อมวลชนเข้ารับฟัง ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งของการบรรยายว่า ส่วนตัวเห็นว่า ความขัดแย้ง ณ วันนี้มาจาก 2 สาเหตุหลัก คือ 1.จากความคิดที่ว่าเสียงข้างมากคือความถูกต้อง 2.มีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการประหัตถ์ประหารกันในทางการเมือง จะเห็นได้จากคำวินิจฉัยของศาลที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ จึงเห็นว่า การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งขณะนี้ไม่มีทางออกไหนที่ทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้
นายกฯยังกล่าวด้วยว่า ในทัศนะของตนมองว่า การที่จะแก้ไขปัญหาได้ ควรที่ทุกฝ่ายต้องถอยคนละนิดละหน่อย โดยการถอยนั้น 1.ต้องไม่ทำให้สูญเสียความเป็นนิติรัฐ 2.ต้องทำให้สถาบันหลักคงอยู่และไม่ถูกรบกวน ซึ่งในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นที่คณะกรรมการสมานฉันท์เสนอนั้นยินดีหากเห็นว่าควรแก้ไขก็แก้เลย แม้จะมีความเห็นแตกต่างในบางประเด็น เช่นในเรื่องของเขตเลือกตั้ง ส่วนตัวมองว่าเขตใหญ่ 3 คน ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ดีกว่า เขตเดียวเบอร์เดียวตามรัฐธรรมนูญปี 2540 เพราะความขัดแย้งและการซื้อเสียงไม่รุนแรง ส่วนประเด็นมาตรา 237 ที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคนั้น เชื่อว่า การแก้ไขจะก่อให้เกิดปัญหาโต้เถียง หรืออาจจะนำไปสู่การชุมนุมได้ จึงคิดว่าในประเด็นนี้ควรจะมีการทำประชามติโดยก่อนทำให้แต่ละฝ่ายสามารถที่เผยแพร่ความคิดของตัวเองได้อย่างเสรี
นอกจากนี้ นายกฯ ยังกล่าวถึงเรื่องการยุบสภาว่า ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรือแปลกประหลาดอะไร แต่โดยส่วนตัวคิดว่า ถ้าจะยุบสภาต้องตั้งอยู่ใน 3 เงื่อนไข คือ 1.ขอให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเข้ารูปเข้ารอย โดยคาดการณ์ว่า ในช่วงเดือน ธ.ค.-ก.พ.2553 น่าจะเป็นช่วงที่มาตรการ การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลออกดอกออกผล 2.ถามว่าถ้ายุบสภาวันนี้กติกาเลือกตั้งที่มีอยู่ ทุกฝ่ายพอใจกันแล้วหรือยัง และถ้าให้เลือกตั้งภายใต้กติกาเดิมจะเกิดปัญหาความขัดแย้งหรือไม่ 3.ถ้ายุบสภาเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งนั้นทำให้ความขัดแย้งรุนแรงในขณะนี้หมดไปหรือไม่ หากเลือกตั้งขณะนี้ ถามว่าทุกพรรคการเมืองสามารถเข้าไปหาเสียงในทุกพื้นที่โดยปราศจากการต่อต้านได้หรือไม่ “ถ้าเรายังไม่สามารถแก้เงื่อนไขต่างๆเหล่านี้ได้ การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร” นายอภิสิทธิ์ ย้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังการบรรยายระหว่างที่นายกรัฐมนตรีกำลังเดินทางกลับ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ก็ได้ยื่นหนังสือให้ตรวจสอบ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กับนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีก็ได้รับหนังสือด้วยตนเอง