"ผ่าประเด็นร้อน"
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯทรงทุ่มเททำทุกอย่างให้กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ทุกพระราชกรณียกิจ ทุกโครงการของพระองค์ไม่เคยหนีจากประชาชน แล้วไม่เคยเอาอะไรมาเป็นของพระองค์เลย”
“ทำไมพวกเราถึงไม่ตอบแทนพระองค์ด้วยการทำให้พระองค์ชื่นใจ ทำไมคนไทยถึงเป็นแบบนี้ ในวันที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุมากแล้ว เราให้อะไรแด่พระองค์บ้าง ให้ความชื่นพระทัยอะไรแด่พระองค์บ้าง”
นั่นเป็นคำพูดตอนหนึ่งของ ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ที่ได้กล่าวระหว่างร่วมพิธีเปิดโครงการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสำนักราชเลขาธิการระยะที่ 2 ที่หอประชุมกองทัพเรือ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา
คำพูดของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์พระทัยของทั้งสองพระองค์ที่ได้เห็นบรรยากาศความแตกแยกของคนไทย
ส่วน พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ซึ่งเคยเป็นหัวหน้านายตำรวจประจำราชสำนัก ถวายความปลอดภัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถมาเป็นเวลานาน ก็ได้กล่าวในโอกาสเดียวกัน ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ขณะนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯกำลังตกเป็นเป้าของการลบหลู่ การให้ร้ายของคนบางพวก โดยเฉพาะมีเว็บไซต์เถื่อนเกิดขึ้นมากมาย
พร้อมทั้งเตือนว่าหากไม่รีบแก้ไขโดยเร็วก็อาจเกิดสงครามที่สาหัสมาก !!
ที่ผ่านมาคนไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มมีความรับรู้และรู้สึกว่ามีขบวนการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องการให้เกิดสงครามประชาชนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบถอนรากถอนโคน ซึ่งขบวนการดังกล่าวได้ขยายเติบโตเรื่อยมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ในยุคนี้ ได้มีเว็บไซต์หมิ่นสถาบันเบื้องสูงผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด มีการบิดเบือน ให้ร้ายอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังใช้วิธีแจกจ่ายใบปลิว รวมไปถึงกล่าวโจมตีทางวิทยุชุมชนทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดีหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้มีกลุ่มคนไทยที่จงรักภักดีและเห็นภัยร้ายจากกลุ่มขบวนการที่คิดทำร้ายทำลายสถาบันได้พยายามเปิดโปงแผนการร้ายดังกล่าว โดยเฉพาะการออกมาเปิดเผยข้อมูลของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง จนเริ่มทำให้หลายคนเริ่มมีความตื่นตัวกันมากขึ้น
มีการเปิดเผยให้เห็นถึงตัวตนและแผนการของคนเหล่านี้ ตั้งแต่ในเรื่องของ “ปฏิญญาฟินแลนด์” และกลุ่มซ้ายอกหักที่เคยผิดหวัง หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ล่มสลาย ซึ่งคนกลุ่มดังกล่าวก็ได้เปลี่ยนแปลงบทบาทใหม่เข้ามาเป็นมันสมองและกำหนดการเคลื่อนไหวให้กับ ทักษิณ ชินวัตร เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้
หากสังเกตให้ดีจะพบว่าในการเคลื่อนไหวของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” มักมีการกล่าวถ้อยคำจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอยู่ตลอดเวลา หลายคนถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่น ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” ชูชีพ ชีวสุทธิ์ จักรภพ เพ็ญแข วีระ มุสิกพงศ์ ใจ อึ้งภากรณ์ ฯลฯ
หรือแม้แต่พฤติกรรมและคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร เองก็มักออกมาในทำนองไม่เหมาะสม ถูกมองว่าอาจเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่นการเข้าไปเป็นประธานทำพิธีในวัดพระแก้ว หรือคำพูดที่ว่า “ถ้านายกฯ ไม่จงรักภักดีแล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ” หรือ “ถ้าพระเจ้าอยู่หัวมากระซิบข้างหูให้ลาออกก็จะกราบพระบาทลาออกทันที” หรือแม้กระทั่งยังพูดว่า หากเขาจะกลับเมืองไทยก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าอยู่หัวเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งเหมือนกับว่าเป็นการ “ตีตนเสมอ” ฯลฯ
ล่าสุดยังมีพฤติกรรมที่ไม่บังควรด้วยการล่ารายชื่อถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ทั้งที่ในทางกฎหมายแล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ได้เข้าเงื่อนไข แต่การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการบิดเบือน ชักจูงให้ประชาชนหลังเข้าใจผิด เป็นการกดดัน และก้าวล่วงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ขณะที่ปฏิกิริยาอีกด้านหนึ่งจากฝ่ายรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐกลับนิ่งเฉยดูเบาหรือทำเป็นหูทวนลม ส่วนหนึ่งยังอ้างหน้าตาเฉยว่าไม่สมควรนำเอาเรื่องสถาบันมากล่าวพาดพิง เนื่องจากเห็นว่าจะเป็นการดึงฟ้าต่ำ
รวมไปถึงระดับผู้บริหารระดับสูงในกองทัพ เช่น ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่เมื่อถูกถามในเรื่องการปกป้องสถาบันก็ตอบว่า “ในฐานะที่เป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว และเป็นทหารของชาติ ผมไม่มีความเห็นครับ” สร้างความผิดหวังให้คนไทยจำนวนมาก ที่ตั้งความหวังไว้ว่าอย่างน้อยต้องมีข้าราชการทหารออกมาตอบโต้ หรือมีท่าทีแข็งกร้าวต่อใครก็ตามที่ทำให้กระทบต่อพระบรมเดชานุภาพ
แต่นี่กลับดูเหมือนว่านิ่งเฉย ตรงกันข้าม ไม่แสดงท่าทีในทางสาธารณะให้เห็นว่าเป็นการป้องปรามแต่อย่างใด
ดังนั้นจะเป็นเพราะท่าทีแบบนี้หรือไม่ที่ทำให้ทำให้ขบวนการเถื่อนทำลายสถาบันเหิมเกริมเติบโตยิ่งขึ้นเรื่อยๆจนน่าเป็นห่วง !!
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯทรงทุ่มเททำทุกอย่างให้กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ทุกพระราชกรณียกิจ ทุกโครงการของพระองค์ไม่เคยหนีจากประชาชน แล้วไม่เคยเอาอะไรมาเป็นของพระองค์เลย”
“ทำไมพวกเราถึงไม่ตอบแทนพระองค์ด้วยการทำให้พระองค์ชื่นใจ ทำไมคนไทยถึงเป็นแบบนี้ ในวันที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุมากแล้ว เราให้อะไรแด่พระองค์บ้าง ให้ความชื่นพระทัยอะไรแด่พระองค์บ้าง”
นั่นเป็นคำพูดตอนหนึ่งของ ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ที่ได้กล่าวระหว่างร่วมพิธีเปิดโครงการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสำนักราชเลขาธิการระยะที่ 2 ที่หอประชุมกองทัพเรือ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา
คำพูดของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์พระทัยของทั้งสองพระองค์ที่ได้เห็นบรรยากาศความแตกแยกของคนไทย
ส่วน พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ซึ่งเคยเป็นหัวหน้านายตำรวจประจำราชสำนัก ถวายความปลอดภัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถมาเป็นเวลานาน ก็ได้กล่าวในโอกาสเดียวกัน ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ขณะนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯกำลังตกเป็นเป้าของการลบหลู่ การให้ร้ายของคนบางพวก โดยเฉพาะมีเว็บไซต์เถื่อนเกิดขึ้นมากมาย
พร้อมทั้งเตือนว่าหากไม่รีบแก้ไขโดยเร็วก็อาจเกิดสงครามที่สาหัสมาก !!
ที่ผ่านมาคนไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มมีความรับรู้และรู้สึกว่ามีขบวนการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องการให้เกิดสงครามประชาชนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบถอนรากถอนโคน ซึ่งขบวนการดังกล่าวได้ขยายเติบโตเรื่อยมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ในยุคนี้ ได้มีเว็บไซต์หมิ่นสถาบันเบื้องสูงผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด มีการบิดเบือน ให้ร้ายอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังใช้วิธีแจกจ่ายใบปลิว รวมไปถึงกล่าวโจมตีทางวิทยุชุมชนทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดีหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้มีกลุ่มคนไทยที่จงรักภักดีและเห็นภัยร้ายจากกลุ่มขบวนการที่คิดทำร้ายทำลายสถาบันได้พยายามเปิดโปงแผนการร้ายดังกล่าว โดยเฉพาะการออกมาเปิดเผยข้อมูลของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง จนเริ่มทำให้หลายคนเริ่มมีความตื่นตัวกันมากขึ้น
มีการเปิดเผยให้เห็นถึงตัวตนและแผนการของคนเหล่านี้ ตั้งแต่ในเรื่องของ “ปฏิญญาฟินแลนด์” และกลุ่มซ้ายอกหักที่เคยผิดหวัง หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ล่มสลาย ซึ่งคนกลุ่มดังกล่าวก็ได้เปลี่ยนแปลงบทบาทใหม่เข้ามาเป็นมันสมองและกำหนดการเคลื่อนไหวให้กับ ทักษิณ ชินวัตร เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้
หากสังเกตให้ดีจะพบว่าในการเคลื่อนไหวของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” มักมีการกล่าวถ้อยคำจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอยู่ตลอดเวลา หลายคนถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่น ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” ชูชีพ ชีวสุทธิ์ จักรภพ เพ็ญแข วีระ มุสิกพงศ์ ใจ อึ้งภากรณ์ ฯลฯ
หรือแม้แต่พฤติกรรมและคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร เองก็มักออกมาในทำนองไม่เหมาะสม ถูกมองว่าอาจเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่นการเข้าไปเป็นประธานทำพิธีในวัดพระแก้ว หรือคำพูดที่ว่า “ถ้านายกฯ ไม่จงรักภักดีแล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ” หรือ “ถ้าพระเจ้าอยู่หัวมากระซิบข้างหูให้ลาออกก็จะกราบพระบาทลาออกทันที” หรือแม้กระทั่งยังพูดว่า หากเขาจะกลับเมืองไทยก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าอยู่หัวเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งเหมือนกับว่าเป็นการ “ตีตนเสมอ” ฯลฯ
ล่าสุดยังมีพฤติกรรมที่ไม่บังควรด้วยการล่ารายชื่อถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ทั้งที่ในทางกฎหมายแล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ได้เข้าเงื่อนไข แต่การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการบิดเบือน ชักจูงให้ประชาชนหลังเข้าใจผิด เป็นการกดดัน และก้าวล่วงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ขณะที่ปฏิกิริยาอีกด้านหนึ่งจากฝ่ายรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐกลับนิ่งเฉยดูเบาหรือทำเป็นหูทวนลม ส่วนหนึ่งยังอ้างหน้าตาเฉยว่าไม่สมควรนำเอาเรื่องสถาบันมากล่าวพาดพิง เนื่องจากเห็นว่าจะเป็นการดึงฟ้าต่ำ
รวมไปถึงระดับผู้บริหารระดับสูงในกองทัพ เช่น ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่เมื่อถูกถามในเรื่องการปกป้องสถาบันก็ตอบว่า “ในฐานะที่เป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว และเป็นทหารของชาติ ผมไม่มีความเห็นครับ” สร้างความผิดหวังให้คนไทยจำนวนมาก ที่ตั้งความหวังไว้ว่าอย่างน้อยต้องมีข้าราชการทหารออกมาตอบโต้ หรือมีท่าทีแข็งกร้าวต่อใครก็ตามที่ทำให้กระทบต่อพระบรมเดชานุภาพ
แต่นี่กลับดูเหมือนว่านิ่งเฉย ตรงกันข้าม ไม่แสดงท่าทีในทางสาธารณะให้เห็นว่าเป็นการป้องปรามแต่อย่างใด
ดังนั้นจะเป็นเพราะท่าทีแบบนี้หรือไม่ที่ทำให้ทำให้ขบวนการเถื่อนทำลายสถาบันเหิมเกริมเติบโตยิ่งขึ้นเรื่อยๆจนน่าเป็นห่วง !!
