“เทพไท” แฉยูเออีเชิญ “นช.แม้ว” ออกนอกประเทศ หวั่นใช้เป็นฐานเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่หยุดจนส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับไทย ขณะเจ้าตัวหนีไปซุกมอนเตเนโกร ประเทศเกิดใหม่ในยุโรปตะวันออก แต่เชื่อจะยังไม่หยุดเคลื่อนไหว
วันนี้ (26 ส.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากแหล่งข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ได้ขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยคดีทุจริตหลายคดี และอยู่ระหว่างหลบหนีคำพิพากษาจำคุกในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาไปอยู่ต่างประเทศ ให้เดินทางออกจากยูเออี เพราะกลัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะใช้เป็นฐานการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับไทย โดยขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศมอนเตเนโก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าอดีตนายกรัฐมนตรีจะไม่หยุดเคลื่อนไหว
สำหรับมอนเตเนโกรเป็นประเทศที่เพิ่งแยกตัวออกมาจากเซอร์เบียเมื่อปี 2549 ก่อนหน้านั้นได้รวมอยู่ในสหพันธรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระัทั่งระบอบสังคมนิยมล่มสลายในทศวรรษ 1990 รัฐต่างๆ ในยูโกสลาเวียจึงทยอยแยกตัวออกมาเป็นอิสระ ซึ่งเซอร์เบียปละมอนเตเนโกรเป็น 2 รัฐสุดท้ายที่มีการแยกตัวเป็นอิสระจากกัน และขณะนี้กำลังขอเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) และเข้าร่วมระบบวีซ่าเสรีในอียู
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน พ.ค.52 มีข่าวว่า เครือข่ายนักพัฒนาเอกชน(เอ็นจีโอ)ด้านการต่อต้านคอร์รัปชั่นของมอนเตเนโกรได้ออกมาต่อต้านการที่รัฐบาลมอนเตเนโกรมอบสถานะพลเมืองพิเศษและพาสปอร์ตให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาคอร์รัปชั่นในไทย ซึ่งจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการที่มอนเตเนโกรจะเข้าร่วมเป็นสมาชิก อียู. ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังจะเข้าไปประมูลซื้อเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของเดิมถูกออกหมายจับในคดีลักลอบค้าบุหรี่เถื่อน จนรัฐบาลมอนเตเนโกรต้องนำออกมาประมูลใหม่ อย่างไรก็ตามข่าวดังกล่าวได้เงียบหายไปในเวลาต่อมา
นายเทพไทกล่าวถึงการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในพื้นที่เขตดุสิต ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม - 1 กันยายน เพื่อควบคุมการชุมนุมของคนเสื้อแดงว่า เป็นเพราะรัฐบาลเกรงว่าจะซ้ำรอยเหตุการณ์ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงออกมาก่อจลาจลจนบ้านเมืองเสียหาย และยืนยันว่ารัฐบาลไม่ปิดกั้นการชุมนุม ตามที่พรรคเพื่อไทยกล่าวอ้าง แต่ทางพรรคได้ประเมินการชุมนุมครั้งนี้ว่าเป็นการส่งสัญญาณความรุนแรง