xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” ย้ำต้องปฏิรูปการศึกษาไทย เชื่อเด็กไทยไม่เป็นรองใคร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นายกฯอภิสิทธิ์ เป็นประธานปาฐกถา งานธรรมศาสตร์วิชาการ 52 พร้อมเจอ “กระจ๊อกหางแดง” พร้อมตีนตบโห่ไล่ ก่อนเจอตำรวจสกัดออกนอกบริเวณ “อภิสิทธิ์” ยอมรับการศึกษาไทยปฏิรูป เห็นไม่ควรยัดเยียดความรู้เกินไป แนะควรสร้างสำนึกให้เด็กรู้เป้าหมายชีวิต แจงยอมทำงานหนักไม่กินข้าวกลางวัน แก้ปัญหาประเทศ ปัดไม่ถึงเวลาปรับ ครม.แย้มเย็นนี้ได้ชื่อ “ผบ.ตร.” พร้อมยอมรับลากตัว “นช.แม้ว” มาเอาผิดยาก อ้างติดสัญญาระหว่างประเทศ แต่คุยเริ่มได้ความร่วมมือมากขึ้นหลัง “ทักษิณ” เริ่มหลุดออกนอกวงประเทศเจริญ ย้ำไม่ขวางหากเคลื่อนไหวถูกต้อง เชื่อ คนไทยต่างสีอยู่ร่วมกันได้ หากเคารพความคิดต่าง ยันไม่ยอมให้ปชช.เป็นเหยื่อทางการเมือง

วันนี้ (20 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจของนายกรัฐมนตรี ว่า เมื่อเวลา 10.00 น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมและให้นโยบายการจัดทำแผนหลักในการประชุมเชิงปฏิบัติ การเพื่อการจัดทำแผนหลัก ประจำปี 2553-2555 ที่โรงแรมสยามซิตี ถนนศรีอยุธยา จากนั้นเวลา 11.00 น.นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเป็นประธานพิธีเปิดงานธรรมศาสตร์วิชาการ 52 และแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “อนาคตประเทศไทย” ที่อาคารยิมเนเซียม 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ทั้งนี้ มีคนเสื้อแดงประมาณ 20 คน มายืนชูตีนตบ หัวใจตบขับไล่ขบวนรถนายอภิสิทธิ์อยู่ริมทางภายในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ก็ถูกตำรวจนำโดยพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ไปห้ามไว้ไม่ให้เข้าไปภายในอาคาร

นายกฯกล่าวเปิดงาน ระบุปฏิรูปการศึกษาทุกคนต้องช่วยกัน

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวเปิดงานธรรมศาสตร์วิชาการ 52 โดยมีนักเรียน นักศึกษาและอาจารย์ร่วมรับฟังจำนวนมาก เเละส่งเสียงกรี๊ดให้กำลังใจนายกฯอยู่ตลอดเวลา ว่า แม้รัฐบาลจะมีความตั้งใจในการทำงานแก้ปัญหาให้ประเทศชาติในปัญหาที่รุมเร้าหลายด้าน แต่การแก้ปัญหาจะไม่มีทางสำเร็จได้ถ้าขาดการร่วมแรงจากประชาชน ซึ่งการให้องค์ความรู้กับนักศึกษาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ นอกจากนี้ ตนขอขอบคุณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สนับสนุนและแสดงบทบาทต่อบ้านเมือง หากสถาบันการศึกษาทุกแห่งใช้ความรู้ในการแก้ปัญหาและรับผิดชอบปัญหาของประเทศจะช่วยฟันฝ่าอุปสรรคทุกเรื่องได้แน่นอน

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “อนาคตประเทศไทย” โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านทางโมเดิร์นไนน์ทีวี เผยแพร่ไปทั่วประเทศ โดยมีนายกนก รัตน์วงศ์สกุล ทำหน้าที่ดำเนินรายการและได้นำคำถามจากนักเรียนนักศึกษาที่เขียนขึ้นมาถามนายกรัฐมนตรี

นายกฯ ฟุ้งสร้างโอกาสการศึกษาไทยให้มีคุณภาพ ผ่านโครงการเรียนฟรี

โดยมีคำถามจากนักเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ถามว่า นายกฯมีวิธีการแก้ไขปัญหาการศึกษาให้เด็กไทยมีความรู้แน่นเทียบเท่านานาชาติอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าถามตนพื้นฐานจริงๆ เด็กไทยไม่เป็นรองใคร จะเห็นว่า เพื่อนๆ เราไปได้รางวัลเยอะแยะ ดังนั้น คนไทยไม่ได้เป็นรองใคร แต่ปัญหาเป็นเรื่องของการได้รับโอกาสและคุณภาพ ทั้งนี้ โอกาสก็ดีขึ้นเป็นลำดับแล้ว เพราะรัฐบาลก็ผลักดันเรื่องของการเรียนฟรี ซึ่งได้ทุ่มเทงบประมาณมหาศาล แต่ยังมีปัญหาบางจุด ก็เร่งรัดสะสาง เพื่อให้นักเรียนได้รับสิทธิ์ขั้นพื้นฐาน สำหรับชั้นอุดมศึกษาในเรื่องของให้ทุนกู้ยืม ก็กำลังมีการขยายอย่างต่อเนื่อง

ชี้มุ่งแต่แข่งขัน ไม่ได้ค้นว่าจะทำอะไร

ส่วนเรื่องของคุณภาพการศึกษา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนก็ร่วมผลักดันมาเป็นเวลา 10 ปี ที่ต้องตอบสนองคนทุกคนได้ แต่ปัญหาคือระบบของเราคือให้ทุกคนมาแข่งขัน โดยทำสิ่งเดียวกัน มุ่งเรื่องของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้ส่งเสริมให้ค้นพบว่าจะทำอะไร ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ หลักคือ 1.เด็กเล็กและประถมไม่ควรเรียนมากแบบนี้ ควรให้อยู่กับเพื่อน ให้เรียนรู้มากกว่านี้นอกห้องเรียน และคนที่เรียนมากๆบางทีไม่ได้เก่งอะไร รู้มากก็ไม่ได้มีความสามารถอะไร

แนะไม่ควรยัดเยียดความรู้มากเกินไป รู้เป้าหมายชีวิต

เมื่อถามว่า ในฐานะเป็นนักเรียนโรงเรียนอีตัน จากประเทศอังกฤษ มีกลเม็ดอย่างไรแนะนำ นายกฯ กล่าววา ต้องไม่ยัดเยียดเนื้อหาเพราะมากไป ตนดูมาตลอดตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนมันหนักเกินไป เดี๋ยวนี้นักเรียนก็เปลี่ยนจากกระเป๋าเป้ มาเป็นกระเป๋าถือ แล้วตอนนี้ไปส่งลูกที่โรงเรียนก็เห็นลากเป็นกระเป๋าเดินทางเหมือนไปสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเด็กเรียนชั้นที่อยู่ชั้น 4 ต้องพักกลางทาง ตนคิดว่า ไม่มีความจำเป็นให้มากมายขนาดนั้น เพราะฉะนั้นตรงนี้ต้องแก้เด็กตั้งแต่เล็กขึ้นมา ส่วนระดับมัธยมต้องทำให้รู้ว่าตัวเองมีเป้าหมายในชีวิตอย่างไร ไม่ดูหรือเทียบตารางคะแนน ต้องรู้ว่าอยากเป็นวิศวะ ศิลปิน และเรื่องนี้ระบบต้องตอบสนองตรงนั้น แต่เป็นเรื่องซึ่งต้องใช้เวลา เพราะเกี่ยวกับหลายเรื่อง แต่ว่าต้องทำและตั้งใจจะทำต่อไป
นายกฯ กล่าวอีกว่า ตนขอให้ทบทวนเรื่องเปลี่ยนระบบสอบเข้าให้เป็นเรื่องใหญ่ที่ยังไม่ดี เพราะตนติดตามไปดูในแง่ตั้งแต่การมีการเปลี่ยนมาเป็นแอดมิดชั่น โดยเฉพาะกับเด็กสายวิทย์ ซึ่งเด็กที่เข้าไปเรียนมีปัญหา เรียนไม่ได้ แสดงว่าระบบสอบคัดเลือกมันผิด อันนี้เป็นตัวตั้งสำคัญที่ต้องเปลี่ยนแปลง

“อยากจะสะสางและให้มีผลภายในสามปี เพราะเด็กที่ขึ้นม.4 ก็จะได้รู้กติกา ขอให้ดูตรงนี้อย่างจริงจัง เพราะนอกจากไม่ตอบสนองการศึกษายังส่งผลต่อระดับประถมและมัธยม ถ้ายังสอบแบบนี้ก็ยังติดในกับดัก เพราะเด็กจะทำเพื่อไปสอบคัดเลือกให้ได้คะแนนดีเท่านั้น” นายกฯ กล่าว

เชื่อปฏิรูปในทศวรรษที่สอง ปัดนักเรียนไทยไม่ใช่หนูทดลอง

เมื่อถามว่า ระบบการศึกษาของไทยจะเป็นเช่นใด จะมีคุณภาพและมั่นคงโดยไม่ใช้นักเรียนเป็นสิ่งทดลองได้หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า คิดว่าระบบตอนนี้อยู่ในช่วงปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่สอง ตนเคยพูดว่าอย่าปฏิรูปไปเรื่อยๆเพราะมันต้องมีจุดชัดเจนว่าจะเปลี่ยนแปลง อะไร สิ้นสุดเมื่อใด และค่อยมาประเมินอีกครั้งนั้นก็สุดแล้วแต่ ส่วนที่ถามว่านักเรียนจะเป็นหนูทดลองนั้น มหาวิทยาลัย ทั่วโลกก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแบบถูกบ้าง ผิดบ้างแต่ไม่มีเจตนาจะให้นักเรียนเป็นหนูทดลอง แต่ทำไปเพราะเชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้นดีและถูกต้องแล้ว แต่มันจะต้องเป็นอุทาหรณ์ว่าผู้วางแผนปฏิรูปต้องคิดให้รอบคอบ ตนบอกไปแล้วว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงทุกปี มันแสดงถึงความล้มเหลวที่ทำกันมา

ยอมรับเด็กหันพึ่งเรียนพิเศษมากกว่า

เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรที่นักเรียนพูดว่าเรียนพิเศษดีกว่าเรียนในโรงเรียน นายกฯกล่าวว่า ถือว่าเป็นตัวสะท้อนการศึกษาที่ดี แต่คำว่าดีกว่ามีหลายความหมาย คือ ได้เนื้อหาสาระที่เป็นการศึกษามากกว่า ส่วนที่บอกว่าเรียนที่โรงเรียนไม่ได้รับการดูแลที่ดี อาจเป็นเพราะบางโรงเรียนมีปัญหาด้านบุคลากร งบประมาณ ทำให้นักเรียนเหล่านั้นต้องขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม แต่มันมีปัญหาอีกว่าอาจารย์บางคนสอนในโรงเรียนธรรมดาแล้วไปสอนพิเศษอีก แต่กลับมีมาตรฐานการสอนแตกต่างกัน มันต้องถามว่าเป็นเพราะอะไร ตนก็มีลูกสาวและความจริงก็ไม่อยากให้ไปเรียนพิเศษ แต่โรงเรียนเปลี่ยนระบบ 1-2 ครั้ง ก็ต้องไปเรียนพิเศษ และได้บรรยากาศอีกแบบหนึ่ง หลายคนมองว่าไปเรียนที่โรงเรียนพิเศษแล้วนอกจากได้เนื้อหาสาระมากกว่าแล้วยังมีความสนุกสนานมากกว่าด้วย มันเป็นสิ่งที่สะท้อนปัญหาว่าทำไมโรงเรียนจึงทำไม่ได้ ตนไม่อยากให้เด็กไปเรียนพิเศษเพราะเชื่อว่าเด็กของเราใช้เวลานั่งในห้องเรียนมากเกินไป ตรงนี้เป็นตัวฟ้องว่าทำไมจึงต้องปฏิรูปการศึกษาและจะทำอย่างไรเพื่อให้เด็ก พึ่งการเรียนพิเศษน้อยลง

เมื่อถามว่า ช่วงที่เรียนนั้น ได้เรียนพิเศษบ้างหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ตนไม่ได้เรียนเพราะเป็นโรงเรียนประจำ เมื่อถามว่าค่าสมัครสอบแอดมิชชั่นแพงไป เพราะบางคนไม่มีเงิน และคล้ายว่าปิดโอกาสทางการศึกษาตั้งแต่ต้น นายกฯกล่าวว่า ตนคัดเลือกบุคคลที่จะไปดำเนินการวางโครงสร้างการสอบแอดมิชชั่นไว้แล้วโดยบอกไปว่า ต้องเลือกคนที่เหมาะสมเข้ามาเรียน ต้องเป็นระบบที่ไม่เป็นภาระสำหรับผู้ปกครองที่มากจนเกินไป แต่ตนกลัวว่ าระบบแอดมิชชั่นหลักเริ่มไม่เป็นที่ยอมรับมากขึ้นแล้ว เพราะมีแนวโน้มว่ามหาวิทยาลัยต่างๆ เริ่มหันไปรับนักศึกษาในระบบสอบตรงมากขึ้น ในการรับตรงนั้นมันมีปัญหาด้านค่าใช้จ่ายและนักเรียนต้องเลือกเรียนหลายแห่ง ทำให้เป็นปัญหามาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านการจัดการเพราะต้องสอบพร้อมกัน เมื่อสอบพร้อมกันก็มีคนเข้าสอบเยอะ ตรงนี้คือโจทย์ที่ให้คณะปฏิรูปไปดู

เผยนั่งนายกฯขณะที่ปัญหาบ้านเมืองเยอะ ลั่นทุ่มเทเต็มที่

นอกจากนี้ นายกนก ได้ถามถึงการที่เป็นนายกฯที่มีเวลาน้อย จนทำให้ไม่ได้กินข้าวกลางวัน และต้องอ่านวาระ ครม.จนหลับ โดย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า ปัญหาบ้านเมืองเยอะ ดังนั้นคนที่มาอยู่ตรงนี้ต้องมีความรับผิดชอบสูงเป็นพิเศษ ตราบที่ตนอยู่ตรงนี้จะทุ่มเทเต็มที่ ต้องทำงานหนัก 8 เดือนที่ผ่านมาก็จะทำงานโดยตลอดเวลา ต้องยอมรับว่ามีเรื่องราวมีปัญหา บางวันตนอยากจัดประชุม 10.00- 12.00 น.แต่มีคนอยากแสดงความเห็นเยอะก็อาจจะใช้เวลานาน

เมื่อถามว่า นายกฯทำงานทุกเรื่องมากเกินไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ แต่งานของนายกฯไทยเยอะอยู่แล้ว ซึ่งตนและรองนายกรัฐมนตรี 3 คน เป็นประธานกรรมการรวมร้อยชุด ลองคิดดูว่าถ้าประชุมทุกวันวันละชุด กว่าจะเสร็จใช้เวลาเป็นปี ซึ่งบางคณะไม่ได้ประชุมมาสองปี ถือเป็นเรื่องหนักแต่กำลังปรับปรุง อาทิ เรื่องของการนำเข้าครม.ก็ลดว่าบางเรื่องไม่ต้องเข้า และกรรมการชุดใดยุบได้ก็ยุบ แต่ไม่ใช่ว่า แปดเดือนก็จะไปยุบตั้งแต่ต้น ไม่ได้ ก็ต้องฟังเขาก่อน และปรับปรุงเปลี่ยนแปลง แต่ทั้งนี้คิดว่าเป็นธรรมดาว่าทำงานการเมืองเป็นอย่างนี้ที่ต้องทำงานหนัก

ยันไม่ถึงเวลาปรับ ครม.

เมื่อถามว่า จะปรับ ครม.หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยัง ถ้าปรับแล้วจะเรียนให้ทราบ และถ้าเหมาะสมก็จะดำเนินการ

แย้มเย็นนี้ ได้ชื่อ ผบ.ตร.แน่
ส่วนรายชื่อ ผบ.ตร.คนใหม่ที่นายกฯจะต้องคัดเลือกและร่วมประชุมกับคณะกรรมการข้าราชตำรวจเย็นนี้เพื่อคัดเลือกนั้น นายกฯ ระบุว่า ตนไม่ได้พกรายชื่อผบ.ตร.คนใหม่มาด้วย ซึ่งเย็นวันนี้ก็ทราบ

แซวคำถามถึง “ทักษิณ” จากโรงเรียนดูไบวิทยา

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ ได้ตอบคำถามของนักเรียนมัธยมคนหนึ่งว่า ในอนาคต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะยังมีอิทธิพลหรือบทบาทในประเทศอีกหรือไม่ และจะลงโทษอดีตนายกฯอย่างไรเเละเมื่อใด ซึ่งคำถามนี้ทำให้คนในห้องประชุมต่างพากันหัวเราะ และนายกฯอภิสิทธิ์ ได้ยิ้มและตอบว่า “คำถามท่อนแรกนึกว่ามาจากโรงเรียนดูไบวิทยา”

ย้ำไม่ขวาง “แม้ว” เคลื่อนถูกต้อง ลั่นจัดการหากเล่นนอกกฎหมาย

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า นักการเมืองที่มีโอกาสบริหารประเทศทุกคนมีอิทธิพลไม่มากก็น้อยกับสังคม โดยเฉพาะนักการเมืองที่เป็นหัวหน้าพรรคและลงเลือกตั้งย่อมมีอิทธิพลทางความคิดกับนักการเมืองจำนวนมาก มันเป็นข้อเท็จจริงและตนไม่ถือว่าเป็นปัญหาตราบเท่าที่การได้รับอิทธิพลเป็นการผลักดันความคิดทางการเมืองไม่ใช่สร้างปัญหาให้บ้านเมือง ฉะนั้นนักการเมืองทุกคนย่อมมีจุดดี จุดเลว จุดแข็งจุดอ่อน และมีความคิดที่เป็นประโยชน์และมีอิทธิพลนั้นตนไม่คิดว่าเป็นปัญหา

“หากว่ามามีอิทธิพลให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ตัวเองและกลุ่ม โดยทำลายบ้านเมือง อย่างนี้ กฎหมายและผู้รับผิดชอบต้องจัดการ การเคลื่อนไหวของกลุ่มที่อยู่กับอดีตนายกฯที่เป็นพรรคการเมืองและกลุ่มที่เคลื่อนไหวนอกสภา หากกระทำโดยเสนอความคิดอย่างสุจริตและอยู่ในขอบเขตกฎหมาย ผมไม่ได้ไปขัดขวางและถือเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย” นายกฯ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า หากกระทำแบบผิดกฎหมายเช่นยุงยงใช้ความรุนแรง กระทำขัดกฎหมายเกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือสถาบันหลักของชาติ หรือไปขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ เป็นหน้าที่บ้านเมืองต้องจัดการ ถามว่า มีอิทธิพลมากน้อยเพียงใดนั้นมันขึ้นอยู่กับประชาชน หากประชาชนเห็นว่าแนวคิดของอดีตนายกฯเป็นประโยชน์ แนวคิดนั้นจะได้รับการสนับสนุน หากประชาชนเห็นว่าสิ่งที่อดีตนายกฯพยายามทำเป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตัวและเป็นปัญหากับบ้านเมือง ประชาชนต้องตัดสินว่าอยากให้ประเทศเดินหน้าหรือไม่

ชี้เอาตัวมาลงโทษไม่ง่าย อ้างไม่มีสัญญาระหว่างประเทศ

ส่วนที่ถามว่าจะจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เมื่อใดและลงโทษอย่างไรนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องเรียนว่าการหลบหนีไปต่างประเทศ อย่าว่าแต่อดีตนายกฯเลยแม้แต่นักธุรกิจและคนทำผิดหนีไป มันไม่ใช่ง่ายที่จะจับ เพราะบางประเทศไม่มีข้อตกลงการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไทย ฉะนั้นการประสานขอความร่วมมือในการจับหรือส่งตัวกลับมานั้น หากไม่มีสนธิสัญญาและข้อตกลงรองรับก็กลับมาไม่ได้ แม้ประเทศที่มีสนธิสัญญากับไทยก็มีเงื่อนไขมากมาย บุคคลซึ่งมีชื่อเสียงโดนจับในต่างประเทศ แต่ต่อสู้ในศาลนับสิบปี ว่า ศาลประเทศนั้นว่าจะอนุญาตส่งตัวกลับหรือไม่ ศาลไทยก็เช่นกันในเรื่องนี้

“ขอเรียนและยืนยันว่า รัฐบาลทำตามหน้าที่ ไม่ได้กลั่นแกล้งใครและละเว้นไม่ได้ ทำเท่าที่ทำได้ในการติดตาม จะสังเกตเห็นว่า หลังๆ มานี้การเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯจะไปในประเทศที่ไม่มีสนธิสัญญาและเป็นประเทศห่างไกลออกไปเรื่อยๆแสดงให้เห็นว่าไทยเดินหน้าทำเรื่องนี้ตรงไปตรงมา มิตรประเทศที่มีสนธิสัญญาก็ให้ความร่วมมือตามสมควร”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนที่มีฎีกาการของพระราชทานอภัยโทษนั้น นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลปฏิบัติเหมือนคนอื่นๆ เมื่อเสนอมาก็ส่งให้หน่วยงาน คือกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ไปดูว่ากรณีนี้เข้าเกณฑ์การฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษหรือไม่และสรุปข้อมูลส่งให้รัฐบาลทำความเห็นประกอบและส่งกลับไปสำนักราชเลขาธิการ

ชี้การเมืองไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกัน ย้ำต้องไม่รุนแรง เคารพกัน

เมื่อถามว่า คนไทยจะเป็นสีเดียวกันเมื่อใด และจะอยู่ร่วมกันได้เมื่อใด นายกฯกล่าวว่า ตน ไม่คิดว่าคนทั้งประเทศจะเห็นตรงกันได้ทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องการเมือง อย่าไปตั้งโจทย์แบบนั้น หากสีสะท้อนถึงความแตกต่าง เราต้องคิดว่าทำอย่างไรทุกสีจะมาอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีความรุนแรง ไม่ฆ่าฟัน เคารพกันและกันทั้งสิทธิและเหตุผล ยอมรับกติกาว่า เมื่อแต่ละสีมีความเห็นไม่เหมือนกัน แต่เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็เป็นห่วงเพราะสิ่งที่สำคัญคือทุกสีต้องยึดมั่นในสิ่งที่เป็นจุดร่วมของความที่เป็นคนไทยที่ต้องอยู่ร่วมกันในสังคมไทยคือสถาบันหลัก และความเป็นชาติ ฉะนั้นตนไม่ขัดข้องว่าจะมีกี่สี อาจจะงดงามขึ้นด้วยซ้ำเพราะนั่นคือสังคมประชาธิปไตยที่มีความหลากหลายและยังมีความงดงามเมื่อหลากสีอยู่ร่วมกัน

นายกฯกล่าวว่า คิดว่า ในปีนี้ สังคมไทยจะอยู่ภายใต้สีเดียวกันได้หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ต้องบอกตรงๆ ว่า ยังมีกลุ่มคนที่ไม่หวังดีต้องการให้เกิดความวุ่นวาย ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องความเห็นที่แตกต่าง เพราะคนกลุ่มหนึ่งอาจทำให้เกิดความวุ่นวายเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง ฉะนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ อะไรที่เป็นเรื่องผิดกฎหมายก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย และทำอย่างไรให้ประชาชนอยู่ร่วมกันโดยที่ไม่ตกลงไปเป็นเหยื่อของคนที่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย ซึ่งก็ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องบริหารประเทศให้ตอบสนองความต้องการ ของคนส่วนใหญ่ และมีความเป็นกลางได้





กำลังโหลดความคิดเห็น