“ฮิวแมนไรต์วอตช์” จับตาฎีกา “เพื่อแม้ว” แนะรัฐตรวจสอบ-ชี้แจงให้ตามกฎหมาย เสนอให้ราชบัณฑิตเป็นกรรมการในสังคม เผย ทั่วโลกรู้ทันแม้วแค่นักโทษหนีคดีไม่ใช่วีรบุรุษ แฉประเทศตะวันตกไม่ต้อนรับ จึงต้องซุกอยู่แถบทะเลทราย ระบุ 8 เดือนรัฐบาลให้คะแนน “มาร์ค” คนเดียว เอือม “ยุติธรรม-พัฒนาสังคมฯ-กลาโหม” สอบตก
วันนี้ (18 ส.ค.) นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาฮิวแมนไรต์วอตช์ประจำประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับสากล กล่าวถึงมุมมองของฮิวแมนไรต์วอตช์ในการจับตาดูความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมเพื่อยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้อดีตนายกฯเมื่อวานนี้ ว่า เป็นโชคดีที่ไม่มีการขยายตัวไปเป็นความรุนแรง เพราะยังมีความกังวลอยู่ จากนานาชาติ เพราะจากเหตุการณ์เดือนเมษายน รวมทั้งเหตุการณ์ของปี 2551 ทั้งปี และเมื่อไม่เกิดความรุนแรงขึ้นก็เป็นเรื่องดี
“และถ้ามองจากจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชน ก็ควรจะปล่อยให้เป็นเรื่องของการตรวจสอบตามกระบวนการตามกฎระเบียบที่มีอยู่ ทางฝ่ายผู้ที่จะยื่นก็ให้เขายื่น และให้กระบวนการตรวจสอบทางซีกรัฐบาลตรวจสอบว่าเขายื่นถูกต้องตามหลักเกณฑ์หรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องก็ต้องชี้แจงว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และฝ่ายผู้ยื่นก็คงต้องยอมรับกติกา ซึ่งรัฐบาลก็มีเวลาอยู่อย่างน้อยก็ 2 เดือนในการพิจารณาเรื่องนี้” นายสุณัย กล่าว
นายสุณัย กล่าวอีกว่า ตนขอเสนอให้มีคนกลางของสังคมในการที่จะออกมาเป็นกรรมการให้สังคมในการให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องของขั้นตอนการถวายฎีกา ที่ไม่ใช่คนของเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ซึ่งตนมองว่า ราชบัณฑิตเป็นหน่วยงานที่มีความเป็นกลางและมีคนที่มีความรู้ความสามารถจำนวนมาก ดังนั้น ตนจึงขอเสนอให้ราชบัณฑิตช่วยเป็นอนุกรรมการเล็กๆในสังคมเพื่อให้ความรู้กับสังคมด้วย
เมื่อถามว่า ถ้ามองในมิติของกติกาสากลกลุ่มคนเสื้อแดงทำถูกต้องหรือไม่ นายสุณัย กล่าวว่า ถ้าไม่ได้มองในกรอบกฎหมายไทย แต่มองแบบสากลก็จะเป็นเรื่องของการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นอย่างสันติ เพราะเขาสามารถคุมตัวเองได้ และนี่เป็นการปรับตัวของเสื้อแดงจากช่วงเดือนเดือนเมษายนที่มีการใช้ความรุนแรง ซึ่งส่วนของการชุมนุมก็ผ่านไป แต่เรื่องของการยื่นฎีกาได้ผ่านพ้นมาอยู่ในมือของรัฐบาล และก็เป็นภาระของรัฐบาลว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร แต่อย่างไรก็ตามมีความกังวลในช่วงก่อนหน้านี้ที่พรรคภูมิใจไทยจะมีการจัดตั้งมวลชนมาเผชิญหน้า คัดค้านกัน นานาชาติกลัวว่าจะมีการนำม๊อบมาชนม๊อบแต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร
เมื่อถามถึงความชอบธรรมในการยื่นฎีกาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯในสายตานักสิทธิมนุษยชนนานาชาติมองอย่างไร ที่ปรึกษาฮิวแมนไรต์วอตช์ กล่าวว่า สถานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอนนี้เป็นนักโทษหนีคดี และในสายตานานาชาติเขาไม่ได้เป็นวีรบุรุษ แต่เป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการละเมิดสิทธิมนุษชนอย่างร้ายแรง ซึ่งตอนนี้ประเทศตะวันตกแทบจะทุกประเทศมอง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นคนที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง จากกรณีการฆ่าตัดตอนยาเสพติด จากกรณีการละเมิดสิทธิ์ในภาคใต้ จากการคุกคามสื่อ ซึ่งคุณทักษิณมีบัญชีติดตัวอยู่ในเรื่องนั้น
“ฉะนั้น ตั้งข้อสังเกตได้เลยว่า คุณทักษิณ ทำไมถึงเคลื่อนไหวในประเทศตะวันตกไม่ได้แล้ว ถึงต้องไปในประเทศที่เขาไม่แคร์เรื่องสิทธิมนุษยชน อย่างดูไบ เขาไม่แคร์เรื่องสิทธิมนุษยชน สื่อดูไบก็ไม่วิจารณ์คุณทักษิณ แต่ลองถ้าคุณทักษิณไปอยู่ประเทศอังกฤษเหมือนที่เคยอยู่สิ ดังนั้น อันนี้เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งว่าทำไมต้องอยู่ในดูไบ หรือขุดทองที่ไลบีเรีย ที่มีอดีตประธานาธิบดีฆ่าคนเป็นอาหารเช้า ดังนั้น คุณทักษิณ จึงเคลื่อนตัวอยู่ในประเทศเหล่านี้ที่มีการปกครองยังไม่โปร่งใส ไม่เป็นประชาธิปไตย และเป็นประเทศที่รัฐบาลไม่ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนตรวจสอบอย่างเต็มที่ คุณทักษิณ จึงมีเกราะคุ้มกันในการเป็นฐานเคลื่อนทางการเมืองได้ แต่ถ้าคุณทักษิณไปอยู่ประเทศแถบตะวันตกแล้วเป็นคนที่มีหมายจับแบบนี้ เขาก็คงจะต้องตรวจสอบว่าเข้ามาอยู่ประเทศเข้าได้อย่างไร” นายสุณัย กล่าว
เมื่อถามว่า แต่มีอีกมิติหนึ่งที่คุณทักษิณมักจะอ้าง คือ ถูกยึดอำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ถูกละเมิดสิทธิ์ นายสุณัย กล่าวว่า เรื่องของการถูกยึดอำนาจก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งเป็นการสูญเสียอำนาจด้วยความไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนประเภทไหน ตอนนี้ประเทศตะวันตกเขารู้ทันแล้ว ว่า เป็นคนที่ได้อำนาจมาจากเลือกตั้งก็จริง แต่หลังจากนั้นก็ละเมิดสิทธิมนุษยชนตลอดจนถึงวันสุดท้ายที่ตกจากอำนาจ ก็ยังไม่รับผิดว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าตัดตอนประชาชนในประเทศ ทั้งที่นานาชาติมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จนทำให้ประเทศไทยถูกเพ่งเล็ง ถูกเข้มงวดในการแลกเปลี่ยนการฝึกอบรมทหาร-ตำรวจ และเรื่องของการซื้อขายอาวุธ ซึ่งถูกจำกัดเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ
เมื่อถามว่า มองเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลนี้ในรอบ 8 เดือนอย่างไร นายสุณัย กล่าวว่า รัฐบาลนี้เปิดตัวด้วยการพูดในแง่ของนโยบาย สัญญาประชาคมด้านสิทธิมนุษยชน แต่เนื่องจากสภาพที่แกว่งจากความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ทำให้งานด้านนี้ยังไม่เห็นการติดตามผลอย่างเป็นรูปธรรม
“คนที่มีผลงานด้านสิทธิมนุษยชนชัดเจนที่สุดกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียว ขณะที่รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงกลาโหมที่ดูแลงานด้านสิทธิมนุษยชนทางภาคใต้หายไปเลย” นายสุณัย กล่าว