xs
xsm
sm
md
lg

“ทักษิณ” ดีเดย์ป่วน-กดดันเบื้องสูง!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ผ่าประเด็นร้อน"

วันนี้(17 สิงหาคม) เป็นวันที่ ทักษิณ ชินวัตร ใช้เครือข่ายในนามของกลุ่ม “คนเสื้อแดง” นัดชุมนุมใหญ่เพื่อนำรายชื่อของประชาชนที่อ้างว่าได้รวบรวมมานับล้านคน เพื่อยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษละเว้นความผิดให้กับตัวเอง

ทุกอย่างเดินหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เร่งกำลังกันเต็มพิกัด

ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นธาตุแท้ของระดับหัวขบวนมากยิ่งขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ยังมีอาการปิดบังซ่อนเร้นมาตลอด

น่าสังเกตก็คือ ท่าทีของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มักจะบอกว่าการยื่นถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ เป็นเรื่องของประชาชนที่ไม่ต้องการให้ตนเองต้องลำบากในต่างแดน และอยากให้กลับมาทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองอีกครั้ง

ทำนองว่าเป็นเรื่องของชาวบ้าน ตัวเขาไม่เกี่ยวอะไรประมาณนั้น

แต่หากได้ยินคำพูดล่าสุดของเขาระหว่างการ “โฟนอิน” ไปยังเวทีคนเสื้อแดงแทบทุกแห่งได้เปลี่ยนแปลงท่าทีเป็นตรงกันข้ามอย่างชัดเจน นั่นคือ เรียกร้องให้ชาวบ้านช่วยกันร่วมลงชื่อถวายฎีกาเพื่อขอพระราชอภัยโทษให้มากที่สุด เพื่อจะช่วยให้กลับมาปลดหนี้ หรือได้กลับมาบริหารบ้านเมืองอีกครั้ง

แม้ว่าสาเหตุที่ทำให้ ทักษิณ ต้องเปลี่ยนท่าทีมาเป็นเร่งเร้าดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากกระแสเริ่ม “ตีกลับ” มีประชาชนทุกสาขาอาชีพ ตั้งแต่ข้าราชการ ฝ่ายการเมือง รวมไปถึงประชาชนทั่วไป เริ่มตื่นตัวและรู้ทันเกม เห็นการก้าวล่วง ผิดราชประเพณี และความไม่บังควรมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิดการต่อต้านกันเป็นวงกว้างก็ตาม

คนเหล่านี้รู้ดีว่า แม้เครือข่ายของ ทักษิณ จะระดมลงชื่อมาได้สักกี่ล้านรายชื่อก็ตาม ก็ไม่มีผลทางกฎหมาย เพราะผิดขั้นตอนการถวายฎีกา นั่นคือ บุคคลที่มีสิทธิ์ลงชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษต้องเป็นบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อแม่ ลูกเมีย ที่สำคัญผู้ที่กระทำความผิด ต้องถูกคุมขังและต้องมีความสำนึกผิดเสียก่อน

โดยกระบวนการตามขั้นตอน ต้องยื่นถวายฎีกาผ่านกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมเท่านั้น

ถามว่าคนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร เคยเป็นนายตำรวจ เป็นถึงอดีตนายกฯ จะรู้ซึ้งถึงขั้นตอนดังกล่าวหรือไม่ หรือคนอย่าง วีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษความผิดในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เคยถูกจำคุก และเคยขอพระราชทานอภัยโทษมาแล้ว หรืออีกหลายคนที่เป็นนักกฎหมาย จะไม่รู้ความจริงข้อนี้เชียวหรือ

เมื่อรู้ว่าไม่มีผลในทางกฎหมาย แต่ก็ยังเดินหน้า นั่นก็ย่อมแสดงว่า ต้องมีเป้าหมาย “ซ่อนเร้น” อย่างแน่นอน

ขณะเดียวกัน หากสังเกตคำพูดและท่าทีล่าสุดของบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นแกนหลักในการเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ต้นได้ประกาศว่า หลังจากที่มีการส่งตัวแทนไปยื่นรายชื่อถวายฎีกาที่สำนักพระราชวังแล้ว ก็จะกลับมาที่บริเวณที่ชุมนุมใหญ่ในท้องสนามหลวง จากนั้นก็จะสลายการชุมนุมในวันเดียวกัน

โดยอ้างว่าจะหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง เพื่อรอพระบรมราชวินิจฉัย !!

หากพิจารณาอย่างผิวเผินก็ดูดี มีเหตุมีผล แต่ในทางตรงกันข้าม หากมองอีกมุมหนึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นการ “กดดัน” พระองค์ท่าน ที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง เนื่องจากรู้ดีว่าการยื่นถวายฎีกาครั้งนี้ไม่มีผลทางกฎหมาย เสมือนมีเจตนาให้ประชาชนเข้าใจผิดซ้ำสอง

เมื่อพิจารณาทั้งจากแง่มุมในทางกฎหมายแล้วไม่มีผลในทางปฏิบัติ อีกทั้งสังคมเริ่มรู้ทัน กระแสตีกลับ บรรยากาศก็ไม่เหมือนกับในช่วงวันสงกรานต์เดือนเมษายน ที่คนเสื้อแดงกำลังฮึกเหิม สร้างกระแสปลุกระดมกันเต็มที่

ทุกอย่างกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ไม่เหมือนก่อน แต่ก็ยังดันทุรัง ก็ทำให้คิดได้ว่า คนกลุ่มนี้กำลังหวังลึกๆ อะไรบางอย่าง โดยเฉพาะการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย นำไปสู่เหตุการณ์จลาจล เพื่อเปิดทางให้ทหารกลุ่มหนึ่ง “รับงาน-รับจ้าง” ก่อการรัฐประหาร เพื่อล้มกระดาน ล้มล้างความผิดของ ทักษิณ ชินวัตร ในทุกคดี

อีกทั้งต้องไม่ลืมว่า ในเวลานี้คดีลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งเอเอสทีวีผู้จัดการ เริ่มมีความคืบหน้า และเข้าใกล้ตัว “บิ๊กโม่ง” ผู้มีอำนาจเข้าไปทุกที ก็อาจใช้วิธี “ปิดเกม” ตัดตอนร่วมกันก็เป็นได้

ประกอบกับในวันที่ 17 สิงหาคม วันเดียวกัน ยังเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีกำหนดอ่านคำพิพากษาในคดีทุจริตกล้ายางพารา ซึ่งมี เนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เป็นหนึ่งในจำเลยสำคัญ และมีรายงานข่าวความเคลื่อนไหวว่า จะมีการระดมคนเสื้อสีน้ำเงิน มาให้กำลังใจกันเป็นจำนวนมาก และสถานที่ก็อยู่ไม่ห่างกันเท่าใดนัก โอกาสที่จะเกิดกระทบกระทั่งก็เป็นไปได้สูง หากมีความ “จงใจ” ให้เกิดขึ้น และรัฐบาลยังไม่มีมาตรการรับมือที่ดีพอ

เพราะจากการแถลงของโฆษกพรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้อ้างว่า มีข้อมูลการว่าจ้างขนคนเข้ามาหัวละ 1 พันบาท เพื่อเข้ามาก่อกวนสร้างสถานการณ์ในวันดังกล่าว

ออกตัวไว้ก่อนว่า หากเกิดความรุนแรงขึ้นไม่ใช่ฝีมือของคนเสื้อแดง เป็นมือที่สาม หรือ “เสื้อแดงปลอม” ที่มักจะนำมาอ้างเพื่อปัดความรับผิดชอบเสมอเมื่อเกิดเหตุขึ้น

ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบทั้งหมดมาตั้งแต่ต้นก็สามารถประมวลได้ว่านับตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม เป็นต้นไปถือได้ว่าเป็นช่วงที่อันตราย อาจเกิดเหตุไม่คาดหมายได้ทุกเมื่อ เพราะเป็นวันที่ ทักษิณ ชินวัตร เริ่มดีเดย์ป่วนและกดดันสถาบันเบื้องสูงอย่างเปิดเผยแล้ว

โดยเฉพาะอย่างการที่บอกว่า จะยุติการเคลื่อนไหวเพื่อรอฟังผลพระบรมราชวินิจฉัย

นี่แหละคือเกมกดดันที่อำมหิตยิ่งนัก !!
กำลังโหลดความคิดเห็น