“มาตุภูมิ” เดินเครื่องช่วงการเมืองร้อน ยึดใต้ฐานที่มั่นประกาศเจตนารมณ์พรรคยึดแนวสันติ ลบรอยร้าวคนในชาติ เรียกศรัทธาประชาชนกลับคืนคนการเมือง ขณะที่ “พล.อ.สนธิ” ย้ำความสูญเสียใน 3 จว.ใต้ คือความทุกข์ใจของคนทั้งแผ่นดิน ระบุสันติสุขเกิดเมื่อยึดพระราชดำรัส “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”
วันนี้ (16 ส.ค.) ที่โรงแรมเซาเทิร์น จังหวัดปัตตานี พรรคมาตุภูมิได้จัดให้มีการสัมมนาพรรค โดย ดร.มั่น พัธโนทัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ดร.มั่น ได้กล่าวเปิดสัมมนาและเจตนารมณ์ของพรรคมาตุภูมิว่า ในสถาวะปัจจุบันสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองได้ก่อให้เกิดความแตกร้าวฉานรุนแรงภายในสังคมไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายและไม่ศรัทธาในนักการเมือง คนที่มีความรู้ความสามารถและซื่อสัตย์สุจริตจึงไม่อยากเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อช่วยชาติ และพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองอย่างเช่นในประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งๆ ที่ประเทศชาติของเรามีศักยภาพและมีความพร้อมที่จะเดินหน้าไปสู่ความเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ดร.มั่น กล่าวต่อว่า พรรคมาตุภูมิตระหนักดีกว่าหนทางที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว พรรคการเมืองจะต้องรวบรวมคนดีมีฝีมือ และซื่อสัตย์ต่อบ้านเมืองเข้ามาช่วยกันสร้าง และทำให้พรรคการเมืองเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง พรรคการเมืองและนักการเมืองจะต้องมีคุณธรรม จริยธรรม เพื่อเรียกความศรัทธาของประชาชนกลับคืนมา พรรคการเมืองและนักการเมืองต้องสร้างให้เกิดความรักและความสามัคคีของคนในชาติเพื่อให้รอยร้าวที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้หมดสิ้นไป และคนไทยกลับมารักกันเช่นเดิม ในการนี้พรรคมาตุภูมิเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะดำเนินการตามนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ยึดหลักสันติวิธีเป็นวิถีชีวิตหนึ่งของคนไทยในการแก้ไขความขัดแย้งทั้งหลาย ต้องทำให้สังคมไทยรับรู้และเข้าใจความจริงเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความชอบธรรมและลดความขัดแย้งที่เป็นอยู่ในสังคม พร้อมๆ กับส่งเสริมสันติวิธีให้คนไทยตระหนักในวัฒนธรรมที่หลากหลายและอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
พร้อมกันนี้ พรรคมาตุภูมิได้จัดปาฐกถาในหัวข้อ “เราจะสร้างความสมานฉันท์ในบ้านเมืองอย่างไร” โดย พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อดีตผู้บัญชาการทหารบก ปาฐกถาว่า ประเทศไทยในสภาพปัจจุบัน มีปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งได้แก่วิกฤตเศรษฐกิจโลก อันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย ปัญหาความยากจน ยาเสพติด ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 และความขัดแย้งทางการเมือง รวมทั้งปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีอยู่ตลอดในระยะเวลาที่ผ่านมา
พล.อ.สนธิ กล่าวต่อว่า ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความรุนแรงและเรื้อรังยังแก้ปัญหาไม่ได้ ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สิน เป็นบาดแผลเจ็บปวดของคนทั้งชาติ และมีผู้พยายามแก้ปัญหาเรื่อยมา แต่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้น ความร้าวฉาน ความแตกแยก กลายเป็นทุกข์ของคนทั้งแผ่นดิน จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือร่วมใจที่จะแก้ปัญหาวิกฤตนี้ให้ภาคใต้ของเราเกิดสันติสุข รวมทั้งให้ประชาชนมีเศรษฐกิจที่ดีเกิดความมั่นคั่งไพบูลย์ต่อไป ในสังคมที่หลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งแต่ละกลุ่มสามารถมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเองได้ ประเทศไทยเราก็เช่นกันประกอบด้วยชนชาติหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายวัฒนธรรมรวมกันยาวนาน เป็นสิ่งสวยงามแล้วควรให้คงมีอยู่ตลอดไป สำหรับเรื่องเศรษฐกิจที่จะส่งเสริมให้มีการแก้ปัญหาความยากจนรัฐบาลควรสนับสนุนให้มีการจัดตั้งศูนย์อาหารฮาลาลเพื่อออกไปจำหน่ายทั่วโลก
พล.อ.สนธิ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ รัฐบาลควรจะกระจายการปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้น เพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถดูแลตนเองได้ และพัฒนาตัวเองให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมของเขา ซึ่งจะให้เห็นว่า หากประชาชนไม่มีส่วนร่วมจะไม่มีวันสำเร็จ ดังกล่าวมาแล้วปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีเหตุการณ์ความไม่สงบมายาวนาน เกิดผลกระทบต่อประชาชนโดยเฉพาะพี่น้องในเขต 3 จังหวัดชายแดน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การค้า สังคม การเมือง ทำให้พี่น้องอยู่ด้วยความลำบาก ความหวาดผวาทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ให้แนวทางแก้ไขปัญหาไว้ คือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ซึ่งทุกคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ควรนำกระแสพระราชดำรัสดังกล่าวมาแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของเราให้มีแต่สันติสุขและความมั่นคงไพบูลย์