“อภิชาต” เผยอนุสอบ 44 ส.ส.ถือหุ้นบริษัทสัมปทานรัฐสรุปเรื่องให้ กกต.แล้ว พร้อมสำเนาสำนวนให้ กกต.ศึกษาวันนี้ คาดลงมติได้ 18 ส.ค.นี้ ย้ำยึดหลักเดียวกับ ส.ว.- 28 ส.ส.ประชาธิปัตย์ หวั่นถูกมอง 2 มาตรฐาน
วันนี้ (10 ส.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.กล่าวถึงการพิจารณาสำนวนคำร้องการถือครองหุ้นของ 44 ส.ส.ว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค. คณะกรรมการไต่สวนฯ ได้พิจารณาและสรุปสำนวนส่งมาให้ตน ซึ่งก็จะได้นำสำนวนดังกล่าวเข้าที่ประชุม กกต.ในวันนี้ (11 ส.ค.) ก่อนที่จะสำเนาสำนวนผลการสอบสวนแจกให้ กกต.อีก 4 คนไปศึกษาเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งหากไม่มีปัญหาขัดข้อง ติดขัด ก็คาดว่าจะสามารถลงมติได้ในวันที่ 18 ส.ค.นี้ แต่หากมีอะไรเพิ่มเติมทาง กกต.ก็อาจจะเลื่อนแต่จะใช้เวลาให้น้อยที่สุด เพราะเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ จึงต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ กกต.จะยึดมาตรฐานการพิจารณาเช่นเดียวกันกับการพิจารณา 16 ส.ว.และ 28 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เพราะมิเช่นนั้นจะถูกมองว่าดำเนินการ 2 มาตรฐาน
นายอภิชาตยังกล่าวถึงการพิจารณาคำร้องนายกรัฐมนตรีแทรกแซงการทำงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ได้มอบหมายให้อนุกรรมการฯไปพิจารณาภายใน 30 วัน ซึ่งทาง กกต.ไม่รู้สึกหนักใจกับการพิจารณา แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการนำสำนวนคำร้องดังกล่าว ที่มีมายื่นให้ กกต.และ ป.ป.ช.ตรวจสอบมารวมพิจารณาด้วยกัน
ประธาน กกต.ยังกล่าวถึงเรื่องร้องเรียนว่าขณะนี้มีจำนวนมาก แต่เป็นการร้องจากผู้ร้องเพียงไม่กี่คน จึงอยากให้ร้องเรียนเฉพาะเรื่องที่จำเป็นและมีความชัดเจน เพราะ กกต.มีเรื่องร้องเรียนที่ค้างการพิจารณาอยู่มาก นอกจากนี้ ยังเห็นว่า งานที่ กกต.ทำมีเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาการเลือกตั้งระดับชาติ การเลือกตั้งท้องถิ่น หรือการใช้อำนาจในการตรวจสอบคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งของ ส.ส.หรือ รัฐมนตรี ซึ่งถือว่ามีปริมาณงานมาก ตนจึงเห็นว่า ควรจะเพิ่มอำนาจให้ กกต.จังหวัดสามารถมีดุลพินิจในการพิจารณา การประกาศผลการเลือกตั้งท้องถิ่นแทน กกต.กลาง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงต้องมีการแก้กฎหมายก่อน เพราะกฎหมายปัจจุบันบังคับว่าการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ไม่ว่าระดับใดก็เป็นหน้าที่ของ กกต.กลางเท่านั้น อีกทั้งในต่างประเทศ กกต.ไม่ต้องรับภาระการพิจารณาการเลือกตั้งท้องถิ่นเหมือนที่บ้านเรา อย่างไรก็ตาม หากมีการเพิ่มอำนาจให้ กกต.จังหวัดจริง ก็คงต้องมีการเพิ่มเติมคุณสมบัติผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งให้เข้มข้นขึ้น