ผ่าประเด็นร้อน
ยืนยันว่ากรณีการออกคำสั่งของผู้บัญชาการสำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ อ้างตามคำบัญชาของสมุหราชองครักษ์ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2549 เรื่องห้าม พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เข้ามาในเขตพระราชฐานต่างๆ ทั่วประเทศ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ขณะเดียวกัน ในฐานะที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต้องมีหน้าที่ “ถวายการอารักขา” ก็ย่อมปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องมีการแถลงชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นให้กระจ่างและ “ตามความเหมาะสม” เท่าที่จะกระทำได้
เพราะแม้ว่าเป็นเรื่องลำบากที่จะกล่าวในรายละเอียด แต่ก็เห็นว่าเมื่อใครได้เห็นคำสั่งดังกล่าวก็ต้องเกิดความรู้สึกเดียวกันนั่นคือ “ช็อก” พร้อมทั้งเกิดคำถามและมีการวิเคราะห์ตามมามากมาย
และที่สำคัญมีการยกเลิกคำสั่งแล้วหรือยัง เพราะถ้าฟังจากคำชี้แจงสั้นๆที่บอกว่า “มีการยกเลิกแล้ว” ของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมกับ รองนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ และ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เมื่อตอนเที่ยงวานนี้ (6 สิงหาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล ยังเห็นว่าไม่น่าจะเพียงพอ
แต่ควรจะเป็นการชี้แจงให้เป็นเรื่องเป็นราวกว่านี้ เพื่อไม่ให้เกิดคำถามที่บานปลายเกิดขึ้นมาอีก
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็สมควรชี้แจงด้วยว่าได้เคยทราบข้อมูลเหล่านี้หรือไม่ เพราะหากไม่ทราบ ก็แสดงว่าอาจมีรายการ “วางยา” โดยรายงานข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือไม่
เพราะตามรายงานระบุว่า พล.ต.อ.วิเชียร อยู่คนละพวกกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และตามข้อมูลก่อนหน้านี้มีการผลักดันให้ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา สบ 10 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2552 นี่เอง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เปิดขึ้นมาเฉพาะตัวเท่านั้น เพื่อเปิดทางให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ เด็กในสายของตัวเองขึ้นมาเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งหลัก
ที่ผ่านมาก่อนการยื่นใบลาพักราชการไปต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 5-14 สิงหาคมของ พล.ต.อ.พัชรวาท ก็ได้หารือและเห็นชอบร่วมกันกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯด้านความมั่นคงก่อนให้ พล.ต.อ.วิเชียร ขึ้นมารักษาราชการแทน
เมื่อมีข้อมูลที่ช็อกความรู้สึกแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่ทำให้สังคมคิดกันไปได้ต่างๆ นานา และแม้ว่าในเบื้องต้น เป็นการขึ้นมารักษาราชการเพียงแค่ 10 วัน แต่ก็ถือว่ามีความหมายไม่น้อย เพราะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเกิดความ “พลิกผัน” ได้ไม่ยาก
นอกเหนือจากนี้ด้วยประเด็นที่ด้อยอาวุโสทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซี่งเป็นพี่ชายของ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (ดามาพงศ์) อดีตภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้อ้างเป็นเงื่อนไขในการคัดค้านการแต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร เป็นผู้รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แทนที่จะเป็นตัวเองที่มีอาวุโสสูงสุด
แม้ว่าหากพิจารณาในแง่ของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ นั้นไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นการฉวยโอกาสออกมาร่วม “ขย่ม” รัฐบาลอีกรอบ เป็นการทำลายความชอบธรรมในการแต่งตั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยเฉพาะการหยิบยกในเรื่อง “อาวุโส” มาเป็นประเด็นหลัก รวมทั้งเรื่องการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองมาโจมตีรัฐบาลชุดนี้ แต่เป้าหมายที่ซ่อนลึกอยู่ข้างในก็น่าจะเป็นเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ที่ นายกรัฐมนตรีประกาศว่าจะมีความชัดเจนภายในสิ้นเดือนนี้
เพราะถ้ายึดอาวุโสตัวเองก็มีสิทธิ์มากที่สุด เนื่องจากถูกนับเป็นอันดับหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อไล่เรียงตั้งแต่เรื่องปม “ละเอียดอ่อน” ของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่เกิดเรื่องมาตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2549 แม้ว่าล่าสุดจะมีการชี้แจงว่าเป็นคำสั่งที่ “ถูกยกเลิกไปแล้ว” ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็น “รอยด่าง” ติดตัว และฝันร้ายไปอีกนาน
เพราะประเด็นแบบนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รับรู้ก็ต้องช็อกกับความรู้สึก
ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่าเป็นการวางยานายกรัฐมนตรีเป็นการรายงานข้อมูลไม่ครบถ้วน ทำให้ถูกมองว่ายังอยู่ “ใต้อำนาจ” ของ “บางกลุ่ม” และเพื่อให้ตกเป็นเป้าถล่มจากสาเหตุการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
และที่สำคัญ พล.ต.อ.วิเชียร จะเป็นผู้มาร่วมพิจารณารื้อโผ 152 นายพลที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ จัดทำเอาไว้ล่วงหน้าอีกด้วย
ทุกอย่างไม่ธรรมดา!!
