xs
xsm
sm
md
lg

“ทหารของพระเจ้าอยู่หัว” แบบ“อนุพงษ์” !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
“ผมในฐานะทหารของชาติและทหารของพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีความเห็นครับ”



นั่นเป็นคำพูดของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) และนายทหารที่รับรู้กันว่าเป็น “ทหารเสือราชินี” เมื่อถูกถามถึงท่าทีหลังจากมีความเคลื่อนไหวของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” และเครือข่ายของ “ทักษิณ ชินวัตร” ในหลายรูปแบบและถูกระบุว่ากำลังกดดันสถาบันเบื้องสูง

ท่าทีดังกล่าวของผู้บัญชาการทหารบก ถือว่า “น่าผิดหวัง” อย่างที่สุด เนื่องจากในฐานะผู้นำกองทัพซึ่งมีความใกล้ชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่ยุคก่อร่างสร้างชาติ จนแยกกันไม่ออก น่าจะรู้สึก “อ่อนไหว” และเจ็บปวดก่อนใคร

ในช่วงเวลาเดียวกันหากเปรียบเทียบกับคำพูดและปฏิกิริยาของ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ที่แม้ว่าอยู่เหนือการเมือง แต่ก็ทนไม่ได้ที่ต้องออกมาพูดในฐานะ “ทหาร” เมื่อถูกถามเรื่องคนเสื้อแดงถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ ทักษิณ ชินวัตรว่า

“มันไม่ถูก เพราะศาลฎีกาตัดสินออกมาแล้ว อำนาจในการบริหารประเทศมีนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ อำนาจตุลาการศาลฎีกาไม่ใช่ศาลชั้นต้นเขาตัดสินมาแล้วก็ไม่ว่าจะเป็นทหาร นายพล หรือพลทหาร ก็ต้องรับโทษตามนั้น ส่วนการอภัยโทษก็อีกขั้นตอนหลังจากรับโทษแล้ว แล้วจะไปเว้นได้ยังไง ไม่ถูก”

หรือ “ผมจะตอบโต้อย่างทหารเก่า ถ้าหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ผมอาจจะทิ่มหน้าเขาเลย เพราะว่าผมสาบานมาจนถึงขนาดนี้ ก็ยังทำเพื่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าใครมาล่วงล้ำอย่างนี้ไม่ได้”

เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของบุคคลทั้งสอง ที่คนหนึ่งเป็นถึงผู้นำเหล่าทัพ ดูแลทางด้านความมั่นคงของชาติ กับอีกคนหนึ่งที่เป็นแค่ทหารเก่า ไม่มีบทบาทหรือมีอำนาจในกองทัพแล้ว แต่กลับฟังดูแล้วมีความรู้สึก “พลุ่งพล่าน” ทันทีเมื่อเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์กำลังถูกก้าวล่วง

อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาแบ็กกราวด์ในอดีตก็จะพบว่าความเข้มข้นของ พล.อ.พิจิตร ก็ถือว่ายังคงเส้นคงวา อาจเป็นเพราะรู้เช่นเห็นชาติว่าเจตนาของ “บางคน” ว่ามุ่งหมายอย่างไร

โดยเฉพาะบุคคลที่ชื่อ วีระ มุสิกพงศ์ ที่ก่อนหน้านี้ สมัยที่ยังเป็น พล.ท.พิจิตร กุลละวณิชย์ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ เป็นผู้เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีกับ วีระ มุสิกพงศ์ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจากการอภิปรายหาเสียงช่วยผู้สมัครรับเลือกตั้งที่บุรีรัมย์เมื่อหลายปีก่อน จนในที่สุดถูกศาลจำคุกเมื่อปี 2531 เป็นเวลา 4 ปี แต่ถูกจำคุกแค่ 1 เดือนก็ขอพระราชทานอภัยโทษ

และช่างบังเอิญอีกว่า ในเวลานี้ วีระ มุสิกพงศ์ คนเดียวกันก็ได้มาเป็นตัวตั้งตัวตีในการล่ารายชื่อเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่ไม่มีผลในทางกฎหมาย เพราะยังไม่เคยถูกจำคุกมาก่อน

เมื่อเปรียบเทียบท่าทีระหว่าง นายทหารทั้งสองคนระหว่าง พล.อ.พิจิตร กับ พล.อ.อนุพงษ์ ช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน

เพราะอย่างน้อยในฐานะผู้บัญชาการทหารบก จะต้องแสดงออก หรือ “ป้องปราม” สร้างความมั่นใจให้กับสังคมที่จริงจังมากกว่านี้เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการก้าวล่วง หรือกระทบไปถึงสถาบันเบื้องสูงไม่ว่ากรณีใดๆ และนอกจากนี้ยังมีฐานะเป็นรอง ผอ.กอ.รมน.ก็ย่อมมีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงและเครือข่ายว่ามีจุดมุ่งหมายที่แท้จริงว่าต้องการอะไร

ขนาดชาวบ้านธรรมดาทั่วไปก็ยังพอมองออก ล่าสุดแม้กระทั่งพรรคภูมิใจไทยถึงจะมีเบื้องหลังอย่างไรก็ตาม แต่ก็ยังออกมารณรงค์ต่อต้านการถวายฎีกาอย่างเต็มกำลัง มีการขึ้นคัตเอาต์ ติดสติ๊กเกอร์กันทุกรูปแบบ

ที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ มักย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นเรื่องการเมือง ทหารจึงต้องวางตัวเป็นกลาง ทั้งที่หากพิจารณาให้ดีแล้วมันคือปัญหาความมั่นคงของชาติ หากสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มั่นคงหรือได้รับความกระทบกระเทือนก็ย่อมส่งผลไปชาติบ้านเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตามหากนิยาม “ความเป็นกลาง” ของผู้บัญชาทหารบกคนนี้ก็คือ การ “ยืนดูอยู่เฉยๆ” นั่นเอง โดยไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นในบ้านเมืองนี้อย่างนั้นหรือ

ในอดีตเคยประจักษ์ให้เห็นมาแล้วตั้งแต่การชุมนุมของประชาชนที่ถูกกลุ่มอันธพาลการเมืองทำร้ายจนบาดเจ็บล้มตายมากมาย ซึ่งไม่นับกรณีเหตุการณ์ 7 ตุลาคม เพราะนั่นเป็นฝีมือของรัฐตำรวจ

ดังนั้น เมื่อประมวลทุกเหตุการณ์แล้วคำพูดที่ว่า “ผมไม่มีความเห็น” ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และยิ่งบอกว่าเป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัวก็ยิ่งน่าผิดหวังเป็นทวีคูณ !!
กำลังโหลดความคิดเห็น