"เจิมศักดิ์" ชี้พิธีตัดกรรมเหมือนการทำกงเต็ก เผย"นช.แม้ว"หมดที่พึ่งดึงไสยศาสตร์เพิ่มความมั่นใจ ยี๊ บิ๊กเซอร์ไพรส์ขายโอทอป-ฝรั่งติวผ่านทีวีไม่เข้าท่า ย้ำคนจะดูหรือไม่อยู่ที่เนื้อหา จวก“เอแบค” ทำโพล ดักคอคนต้องชอบ "ทักษิณ"
รายการ “รู้ทันประเทศไทย” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน วันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 18.30-20.00 น. สำหรับวันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2552 โดยมี ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายสันติสุข มะโรงศรี ดำเนินรายการ ในช่วงมุมมองเจิมศักดิ์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง พูดถึงเรื่องบทเรียนที่ได้รับจากการเดินเกมป่วนเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เรียนรู้หลายอย่าง ทั้งพิธีหงายบาตร ตัดกรรม สวดบังสุกุลคนเป็นคนตาย พฤติกรรมทั้งหมดที่ทำ พูดได้อย่างหนึ่ง ก็คือไม่ได้เข้าไปสู่แก่นธรรมอยู่แค่เปลือกและไม่ใช่เปลือกเฉยๆแต่อยู่ที่ ไสยศาสตร์ อย่างไรก็ดีสิ่งที่ตนเสียใจมากที่สุดก็คือพระที่เข้าทำพิธีแซยิดในงานครบรอบ 60 ปีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง มีอวิชชาอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็พอเข้าใจได้ เพราะตนไม่เคยคาดหมายว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะรู้แก่นธรรมอะไร ได้แต่พยายามพูด ตถตาบ้าง อิทัปปัจจยตาบ้าง และในพิธีตัดกรรมนี้ตนก็ได้ติดตามดูพระตามกระบวนแห่ด้วยความสนใจว่าจะตัดอะไร ในที่สุดก็เอาต้นระกำมาตัด เพียงเพราะคำว่ากรรมก็เลยเอาต้นระกำมาตัด ซึ่งแทนที่จะตีความให้ถูกต้อง ตีความให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม กลายเป็นตีความเพื่อให้ตัวเองพ้นความเลวร้าย กลายเป็นหาประโยชน์ใส่ตัว เพื่อให้ตนเองยังคงไว้แห่งความเป็นตัวตน หรือพูดได้ว่าต้องการได้อย่างเดียว
นายสันติสุข อ่านหนังสือพุทธธรรมที่ตัดมาจากพระไตรปิฎกตอนหนึ่งว่า “ถ้าแม้นบุคคลจะพ้นจากบาปกรรมได้เพราะการอาบน้ำชำระบาป บรรดา กบ เต่า นาค จระเข้า และสัตว์เหล่าอื่น ที่เที่ยวไปในน้ำก็จะพาไปสู่สวรรค์แน่นอน ถ้าแม่น้ำเหล่านี้ถึงนำบาปที่ท่านทำไว้แล้วในการก่อนไปได้ไซร้ แม่น้ำเหล่านี้ก็พึงนำบุญของท่านไปได้ด้วย” ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติม ว่า ตกลงก็เห็นแล้วว่าที่ตนเสียใจที่สุด ก็คือพระ ซึ่งแทนที่จะไห้สติกับผู้คนดึงคนเข้าหาแก่นธรรม กลับแห่พากันไปทำพิธีกรรม เลยเป็นพระในไสยศาสตร์ ไม่ใช่พระในบวรพระพุทธศาสนา
ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวว่า พิธีกรรมหรือกิจกรรมทางการเมืองที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำเป็นเรื่องของการพยายามหาเสียง พยายามสร้างความสำคัญของตัวเองให้หนักยิ่งขึ้น พิธีกรรมทั้งหมดแทนที่จะให้ ละเว้นหรือพ้นจากตัวตน ยิ่งทำให้เกิดตัวตนหนักยิ่งขึ้น
ส่วนคำถามที่ว่า ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ เพลี่ยงพล้ำมากจนตกเป็นจำเลยสังคมว่าทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติก็เลยหาอะไรทำเพื่อต้องการเปิดเกมใหม่ ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นการทำให้คนไม่ลืม เพราะว่า มันไม่รู้จะเล่นอะไรตั้งแต่เดือนเมษายน และถ้าดูให้ลึกๆ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังไม่มั่นใจในตัวเองจึงต้องพึ่งไสยสาสตร์ ในบรรดาญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ก็ไม่มั่นใจว่าจะไปรอดไหม ก็เลยต้องเอาไสยศาสตร์เข้ามาช่วย ทั้งนี้ดูได้จากผู้หญิงที่มักจะไปหาหมอดูมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะช่วงใกล้แต่งงานเพราะผู้หญิงมีความเสี่ยงสูง นักการเมืองก็จะเชื่อหมอดูมากกว่าคนธรรมดาเพราะนักการเมืองเป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูง นักรบเวลาจะออกรบในสนามมีความเสียงสูงเป็นตายไม่รู้ เพราะฉะนั้นไสยศาสตร์จึงสำคัญสำหรับเขา เวลาคนที่มีความเสี่ยงมากๆ ก็จะหาอะไรมาทำให้เกิดความมั่นคงทางใจ ทั้งนี้หากวิเคราะห์ถึงพิธีตัดกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 26 ก.ค. เสมือนการทำกงเต็ก หลายคนบอกว่าเป็นลางไม่ดี เพราะเล่นเอากระดาษมาตัดให้เป็นรูปร่างเหมือนตัวแล้วเอาสายสิญจน์มาพันเหมือนมัดตราสัง และเท่าที่อ่านในอินเทอร์เน็ต หลายคนก็บอกว่าเสียใจเคยรู้สึกนึกรัก พ.ต.ท.ทักษิณอยู่แต่คนที่ทำพิธีกรรมทำไมทำเหมือนพิธีกงเต็ก ก็เลยตะขิดตะขวงใจ
ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวต่อว่า คำว่า บิ๊กเซอร์ไพรส์ ของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่บอกว่า จะทำทีวีของโลก 100 ช่อง โดยจะมีช่องสำหรับคนไทย 3 ช่อง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากหากใครมีเงิน 3-5 ล้านก็สามารถเปิดได้แล้วหนึ่งช่อง แต่ปัญหามีอยู่ ว่า จะทำอย่างไรให้คนติดตามดู เพราะตัวรายการสำคัญกว่าการมีห้องส่ง ดังนี้ถ้าหากเนื้อหาไม่มีอะไรเดี๋ยวคนก็เลิกดู และที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าจะทำทีวี 3 ช่อง โดยช่องหนึ่งเอาสินค้าโอทอปมาขาย ตนอยากจะรู้ว่าใครจะดูโอทอป ซึ่งมันไม่ได้ตื่นเต้นหรือเซอร์ไพรส์เลย
ทั้งนี้ที่บอกว่าจะทำเรียลิตี้โชว์การแก้ไขปัญหาคนจน ซึ่งถ้าคนจนคนหนึ่งทำให้รวยมันไม่ยาก แค่เอาเงินฉีดเข้าไปก็รวยแล้ว ยิ่งแก้ปัญหาคนจนคนเดียวยิ่งง่าย แต่ถ้าจะทำให้คนจนจำนวนมากหายจน ยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก โดยจะต้องแก้ที่โครงสร้างของประเทศ 1. ต้องดูว่าโครงสร้างภาษีอากรและโครงสร้างการใช้จ่ายเงินของรัฐ เพราะรัฐเป็นหน่วยงานที่ใหญ่ที่สุด รัฐเก็บเงินใช้ภาษีทางอ้อม เช่นจากแวต หรือภาษีสรรพสามิตร มันเป็นภาษีที่คนส่วนใหญ่ของประเทศจ่าย ไม่ว่าจะซื้อเสื้อ สบู่ ก็ต้องเสียภาษี อย่างไรก็ดีแม้คนจนคนรวยจ่ายเท่ากัน แต่เมื่อเทียบเป็นรายได้แล้วคนจนจะจ่ายภาษีมากกว่าคนรวย เพราะรัฐจัดเก็บภาษีแบบสัดส่วนรายได้ จะเห็นได้ว่าคนจนในประเทศมีจำนวนมาก ดังนั้นภาษีส่วนใหญ่จึงได้มาจากคนจน วิธีแก้ไขรัฐบาลควรดู ว่า น่าจะเปลี่ยนมาเก็บภาษี ทรัพย์สิน ภาษีมรดก เพิ่มขึ้นไหม
ส่วนการศึกษาของไทยก็ไปเน้นให้คนที่เรียนในเมืองได้เปรียบ และความรู้ที่สอนก็สอนให้รู้เรื่องไกลบ้าน ขณะที่คนที่เรียนในต่างจังหวัดจะรู้เรื่องในเมือง ทำให้การเรียนยิ่งเรียนยิ่งไกลบ้าน ทำให้เกิดแนวคิดว่าอยู่บ้านตัวเองก็ไม่สบายก็ต้องเข้าเมืองมาเป็นลูกจ้างเขา และคนที่อยู่ในเมืองก็มักจะชอบอยากรู้เรื่องเมืองนอก ในที่สุดก็อยากไปอยู่เมืองนอก ขณะเดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็บอกว่าจะเอาทีวี ให้ฝรั่งมาเป็นติวเตอร์สอน ตกลงนี้คือนี่คือวิธีคิดของคนที่มีปัญญารอบรู้แล้วหรือไม่สำหรับประเทศไทย ดังนี้ตนถึงได้เศร้าใจ และไม่ได้ตื่นเต้นเลยที่คนๆ หนึ่งบอกบิ๊กเซอร์ไพรส์ โดยการเอาคนต่างชาติมาสอนออกทีวี
“ นีลเส็น บริษัทที่สำรวจผู้ชมทีวี เขาได้สำรวจคนทั้งประเทศแล้วบอก ว่า ตอนนี้คนที่ดูฟรีทีวีช่อง 3 5 7 9 กับคนที่ดูเคเบิลทีวีบวกทีวีดาวเทียม มันพอๆ กัน ในช่วงบางเวลาเคเบิลทีวีบวกทีวีดาวเทียมมีคนดูมากกว่าฟรีทีวีด้วยซ้ำ และในบรรดาทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวี ASTVช่อง NEWS1 มีคนดูนำโด่งในบรรดาทั้งหมด ซึ่งทิ้งอันดับสองอย่างขาดลอย ส่วนอันดับสองเป็นช่องบันเทิง แล้วเนชั่นแชนเนลไปอยู่อันดับที่ 11 ตกลง ASTV NEW1 คนดูมากกว่าฟรีทีวีบางช่อง ดังนั้นมันอยู่ที่เนื้อหา ไม่สำคัญว่าคนจะต้องมาติดช่องไหน หากเนื้อหาไม่ดีเขาก็ไปดูช่องอื่น”นายเจิมศักดิ์ กล่าว
ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวอีกว่า วันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตนสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง สถาบันเอแบค ไปทำการสำรวจ โจทย์มันแปลกและมันออกมาในวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณด้วย ที่ถามว่าระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนักโทษที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ชาวบ้านนิยมใครมากกว่ากัน ที่แปลกก็เพราะ 1. พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีโอกาศและหมดสิทธิเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะตามกฎหมายที่ระบุว่า คนที่ถูกศาลตัดสินในชั้นสุดท้ายให้ต้องโทษจะเป็นนายกไม่ได้ 2. ถ้าจะเอาอภิสิทธิ์ไปเทียบ แทนที่จะเทียบกับ นายอานันท์ ปัญญารชุน พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ หรือเทียบกับอดีตนายฯ นายบรรหาร ศิลปอาชา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อย่างนี้ไม่น่าแปลก แต่นี่ดันเอาไปเทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือถ้าอยากถามให้ถามกว้างๆ ไปเลย ว่า ระหว่างนายอภิสิทธิ์กับนายกฯ ในอดีตทั้งหลาย เห็นอย่างไร เมื่อผลสำรวจมันออกมา ตนยิ่งรู้สึกเฉยๆ เพราะผลสำรวจเขาบอก ว่า คนที่มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีร้อยละ 58 นิยมชมชอบนายอภิสิทธิ์ ร้อยละ 22 ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ระดับปริญญาตรีร้อยละ 39 ชอบนายอภิสิทธิ์ ร้อยละ 32 นิยม พ.ต.ท.ทักษิณ พูดง่ายๆ ว่าคนที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่านายอภิสิทธิ์ นำ แต่พอไปคนที่มีการศึกษาต่ำ พ.ต.ท.ทักษิณนำ แล้วก็ไปสำรวจภาคอีสาน ภาคเหนือ คงก็คงเดาออกว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร