“พร้อมพงศ์” เผยรอฟัง “พ่อแม้ว” พูดบิ๊กเซอร์ไพรส์ เชื่อรวมหลายเซอร์ไพรส์เป็นบิ๊ก เมินเสียงวิจารณ์ซัดแค่พวกอิจฉาความนิยม ร้องหาความปรองดองโยนกองทัพ-รัฐบาล สร้างสามัคคีก่อน จวกรัฐเหลวแก้หวัด 2009 ทำชาวบ้านพึ่งไสยศาสตร์
วานนี้ (25 ก.ค.) ที่โรงแรมเอเชีย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการจัดงานวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยคดีทุจริตที่หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ ว่า ขอให้รอดูวันที่ (26 ก.ค.) ว่าจะมีเหตุการณ์เซอร์ไพรส์มากมาย จึงรวมเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์ ส่วนเสียงวิจารณ์จากหลายฝ่ายว่าจะเป็นการเพิ่มกระแสความขัดแย้งในสังคมมากขึ้นนั้น เห็นว่าเป็นเพียงพวกอิจฉาความนิยมในตัวอดีตนายกรัฐมนตรีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บิ๊กเซอร์ไพรส์ครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับการปรองดองสมานฉันท์ อย่างการแสดงวิสัยทัศน์ เพื่อให้คนในสังคมได้ฉุกคิด ส่วนจะเป็นการประกาศวางมือหยุดเคลื่อนไหวทางการเมืองชั่วคราว หลังการถวายฎีกาขอพระราชทายนอภัยโทษ และเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายหรือไม่ ให้รอฟังพ.ต.ท.ทักษิณพูด แต่ทั้งนี้การจะสร้างความปรองดองได้หรือไม่อยู่ที่รัฐบาล กองทัพ และกลุ่มอำมาตยาธิปไตยว่าจะมีความจริงใจในการสร้างความสมานฉันท์หรือไม่ แต่ถ้าความเป็นธรรมไม่มี ความสามัคคีก็จะไม่เกิด
ส่วนกรณีที่อาจารย์จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า เรียกร้องให้อดีตนายกรัฐมนตรีหยุดการสร้างกระแสเพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ตนไม่เชื่อถือคำพูดของอธิการบดีนิด้า โดยตั้งข้อสังเกตว่าเป็นกลุ่มเสื้อเหลืองที่มักออกมาแสดงความหลายครั้งจะเข้าข้างเสื้อเหลืองและกลุ่มอมาต
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีควรที่จะปฏิบัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 6 ประเด็น เนื่องจากทางพรรคชาติไทยพัฒนาเองก็ยังเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีไม่ควรยื้อเวลา และการที่นักวิชาการระบุว่า หากหลังวันที่ 26 ก.ค.นี้ไปแล้วยังไม่มีความสมานฉันท์อาจจะมีการรัฐประหาร นั้นตนมองว่า เป็นการข่มขู่และไม่อยากให้เป็นการชี้โพรงให้กระรอก เพราะเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว และเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะไม่ยินยอมให้เกิดขึ้น
นายพร้อมพงศ์กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ถือเป็นการสะท้อนความล้มเหลวในการแก้ปัญหาของรัฐบาล และเกิดวิกฤตประชาชนต่อความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยที่รัฐบาลเองไม่รู้ตัว จนทำให้ประชาชนต้องหันไปพึ่งน้ำมนต์วัดสุทัศน์ กลายเป็นที่พึ่งทางใจแทนที่จะพึ่งการรักษาทางวิทยาศาสตร์ และนี่จะเป็นการเกิดวิกฤตศรัทธาของประชาชนต่อตัวนายกรัฐมนตรี และความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล