นายกฯ เปิดใจกลางรายการเชื่อมั่น พร้อมรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่จะไปรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้ ยืนยันการลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ไม่มีนัยซ่อนเร้น เตรียมเดินสายทุกจังหวัดลบข้อครหา ย้ำจำเป็นต้องเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมกับเสริมสร้างความเข้มแข็ง
วันนี้ (12 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” โดยมีนายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ผู้ดำเนินการจากรายการคนค้นฅน มาทำหน้าที่พิธีกรรับเชิญในช่วงที่สองของรายการว่า ตนก็ทำงานและเดินแนวทางการทำงานทางการเมืองมาตลอด 17 ปี และจะฟังเสียงของประชาชนอยู่ตลอดเวลาว่าเขามีความคิด ความอ่าน ความรู้สึก ความต้องการ ความคาดหวังกับตัวเราอย่างไร ต้องขอบคุณ หลายคนก็ให้กำลังใจว่าแนวทางที่ยึดมั่นมา จะเรียกว่าเป็นอุดมการณ์ หรือจะเรียกว่าเป็นความคิดหลักในการทำงาน ก็ยังสนับสนุนให้ยึดแนวทางนี้อยู่ จะเรียกว่าเป็นในส่วนของความเป็นมนุษย์ หรืออะไรก็สุดแล้วแต่
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า สำหรับตนทำงานการเมืองในตำแหน่งใดก็ตาม จะเป็น ส.ส. กรรมาธิการ ผู้นำฝ่ายค้านหรือรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี ก็ยังคิดว่าเราก็ต้องคงตัวตนของเราว่าเราอยากจะทำอะไรอย่างไร แต่ถ้าถามว่ามีอะไรซึ่งมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ทำไม่ได้ หรืออยากทำแล้วไม่ได้ทำ ก็ต้องมีแน่นอน โดยเฉพาะในภาวะบ้านเมือง ซึ่งอย่างที่เป็นอยู่ บางครั้งเราก็ธรรมดา ความรู้สึกก็เหมือนมนุษย์คนอื่น มีโกรธ มีความไม่พอใจ มีความอยากที่จะสื่อสารบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่ว่าเราดูแล้วว่าถ้าเราทำออกไปแล้ว ผลกระทบต่อส่วนรวมจะเป็นอย่างไร แล้วก็มันคงไม่ถูกตีความว่าเป็นการสะท้อนความคิดของนายอภิสิทธิ์ แต่เป็นการสะท้อนความคิดของคนที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล เพราะฉะนั้น บางเรื่องเราก็ต้องหักห้ามใจ เรื่องนี้เราแสดงออกไม่ได้ เรื่องนี้เราคงต้องไม่พูดออกไป เพราะจะมีผลกระทบตรงนั้นตรงนี้ มันก็มีความขัดกันในแง่นั้นเท่านั้นเอง แต่ในแง่ของเป้าหมายการทำงาน สิ่งที่อยากทำ สิ่งที่อยากจะผลักดัน และตนก็เคยเขียนหนังสือว่าอยากทำอะไร อย่างไรบ้าง ถ้ามีโอกาส สิ่งเหล่านั้นก็เดินหน้าอย่างเต็มที่
เมื่อพิธีกรถามว่าเหมือนมวยที่ชกบนเวทีเวลาเราดูข้างเวทีเราจะมีความรู้สึกว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนเข้าใจ เพราะบางสถานการณ์ หลายสถานการณ์ที่เรากำลังแก้ปัญหาอยู่ แล้วบางสิ่งบางอย่างเราอาจจะยังไม่สามารถพูดหรือสื่อสารไปได้ เพราะมันไปกระทบกับสิ่งที่เราต้องทำต่อไป เราต้องรักษารูปของการทำงานไว้อย่างนี้ แต่นึกออกเลยว่าคนนอกไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไร อึดอัด ต่อว่า หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่ถูกใจ แต่เราก็อธิบายเท่าที่อธิบายได้ แต่รู้เลยว่าหลายสถานการณ์จะต้องมีคนหงุดหงิด อึดอัด แต่ตนก็ถือว่าเขาสะท้อนมา ส่วนใหญ่ก็สะท้อนมา และเราเห็นชัดเลยว่ามันก็เป็นความหวังดี มันเป็นความเชื่อ ความคิดของเขาจริงๆ เราก็รับฟัง และก็ดี เป็นเครื่องเตือนใจเราว่าคนจำนวนหนึ่งเขาคิดอย่างนี้ แม้ว่าวันนี้อาจจะยังไม่มีคำตอบให้กับเขาได้ แต่ว่าเราก็หวังว่าพอเราทำงานเสร็จ สำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ด้วยวิธีการที่เราวางไว้ เขาจะเข้าใจ แต่ระหว่างทางไม่เข้าใจ ก็คงจะมีคนที่ไม่เข้าใจเยอะ
“ผมมีความแน่วแน่พอสมควรนะครับ เมื่อตัดสินใจว่าจะต้องดำเนินการอะไรทำอะไร และก็พร้อมที่จะรับผิดชอบ คือเข้าใจความรู้สึกของคนซึ่งอาจจะบอกว่าเป็นกองเชียร์บ้าง อาจจะเป็นคนที่เป็นนักวิจารณ์ นักวิเคราะห์บ้าง แต่ผมคิดว่าเราหวั่นไหวเกินไปก็ไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ฟัง ไม่ทบทวน ไม่ประเมิน ไม่ใช่ เพียงแต่ว่าบางครั้งเราต้องเข้าใจอีกว่ามุมมองของคนที่กำลังทำอยู่ มุมมองของคนที่มองออกมาจากภายนอกอาจจะต่างกัน บางเรื่องเขาไม่รู้สิ่งที่เราทำ บางเรื่องเราอาจจะไม่เห็นสิ่งที่เขาเห็น เราก็ต้องพยายามดูว่าสิ่งที่เขาเห็นมาช่วยการทำงานเราได้อย่างไร และก็หวังว่าสิ่งที่เราทำในที่สุด ได้ผลลัพธ์ออกมาเขาจะเข้าใจว่าทำไมเราทำในสิ่งที่เราทำ” นายกฯ กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการลงพื้นที่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ว่า ที่จริงแล้วการเดินทางไปครั้งนี้ตนว่าก็ไปวิเคราะห์กันมากมาย จริงๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย คือตนก็บอกกับ ครม.ว่าประเทศไทยกำลังลงทุนครั้งใหญ่ เรากำลังจะปรับปรุงทั้งเรื่องถนนหนทาง แหล่งน้ำ โรงเรียน สถานีอนามัย และเราต้องเร่งรัด เพราะฉะนั้นก็ต้องการที่จะลงไปดูพื้นที่ในการทำสิ่งเหล่านี้ และตนก็ไปมาแล้วรอบหนึ่งที่สมุทรสาคร เคยเอามาออกรายการเชื่อมั่นประเทศไทย
“ทีนี้ก็มีคนพูดบอกว่า ทำไมไม่ไปลงพื้นที่กับพรรคการเมืองที่เป็นพรรคร่วมเขาบ้าง ผมก็บอกว่าก็ไม่เลวนะ เพราะว่าชอบมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ปัญหาระหว่างพรรคการเมืองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ วันหนึ่งผมก็เจอท่านรัฐมนตรีโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่สภาฯ ผมก็บอกรัฐมนตรีเมื่อไหร่จะไปดูโครงการไทยเข้มแข็งบ้าง ไปด้วยกันไหม ท่านก็บอกว่าดีไปด้วยกัน เดี๋ยวผมจะจัดรายการให้ ท่านก็จัดมา ก็เสนอว่าให้ไปบุรีรัมย์ ก็เท่านั้นเอง ผม ไม่ได้คิดว่าอะไรเลยนะครับ ผมก็ถือว่าผมอยากจะไปทั่วประเทศอยู่แล้ว และที่ผ่านมาก็พยายามจะไป แต่ว่ารู้ว่าถ้าในช่วงไหนซึ่งจะทำให้มีแต่ความขัดแย้งวุ่นวาย เราก็ไม่อยากที่จะไปเป็นเงื่อนไข” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า แต่วันนี้ถึงเวลา เพราะว่าโครงการต่างๆ จะต้องลงไปในพื้นที่จริง ตนก็คิดว่าต้องไปแล้ว และได้พยายามที่จะทำความเข้าใจกับคนที่ต่อต้านรัฐบาลในช่วงเดือนเมษายน ได้มีการเปิดโอกาสให้อภิปราย มีการตั้งกรรมการกันในสภาฯ แล้ว เพราะฉะนั้น ตอนนี้ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ให้ทุกคนได้ทำงานกันไปตามหน้าที่ของตัวเอง ตนไม่ได้คิดอะไร ก็ไป วันนี้ไปบุรีรัมย์ วันอื่นก็ต้องไปจังหวัดอื่น แต่บังเอิญว่าก็เป็นธรรมดา ก็ไปวิเคราะห์วิจารณ์อะไรกันไป ตนไม่ได้คิดว่ามีสัญญาณอะไรเป็นพิเศษ
เมื่อพิธีกรถามว่าอีสานมีอะไรพิเศษกว่าภาคอื่นๆ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ความต้องการของอีสาน เรื่องแหล่งน้ำเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ทีนี้ในอดีตอย่างที่บอก ก็คิดอย่างโครงการใหญ่ จะต้องผันน้ำมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำอุโมงค์ลอดแม่น้ำโขง อะไรต่างๆ คือฟังดูมันตื่นเต้น แต่ว่าใช้เงินเป็นแสนล้าน ยังไม่รู้เลยว่าจะมีปัญหากฎเกณฑ์ระหว่างประเทศหรือไม่อย่างไร ต้องซื้อน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ว่าจริงๆ มีโครงการที่ชาวบ้านรู้ดี รอคอยมานานแล้ว โครงการไม่ได้ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก เพราะว่าน้ำที่มีอยู่ตามธรรมชาติในภาคอีสานก็ไม่ใช่น้อย เพียงแต่ว่าถ้าสามารถจัดเก็บ บริหารจัดการได้ กระจายไปสู่เกษตรกรได้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นสิ่งที่คิดว่าเป็นความคาดหวังของชาวอีสาน ขณะเดียวกันปัญหาเรื่องถนนหนทาง เรื่องของสถานีอนามัย เรื่องของโรงเรียนเหมือนกันทั่วประเทศ ขาดแคลนต้องการการปรับปรุง ต้องการให้ดีขึ้น ต้องการมีบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานสูงขึ้น ก็เป็นโอกาสที่จะไปทำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นในช่วงที่ 3 ของรายการ ได้เปิดเป็นภาพที่พิธีกรรับเชิญกำลังบรรยายบรรยากาศของการลงพื้นที่ของนายกฯ ในแต่ละจุดเริ่มจากที่สนามบินบุรีรัมย์ว่า มีคนมาเข้าแถวรอรับท่านนายกฯ เยอะมาก ตอนนี้กองทัพสื่อเข้ามา ตอนนี้ที่สนามบินบุรีรัมย์มองไม่เห็นตัวท่านนายกฯเลย จากนั้นพิธีกรรับเชิญ กล่าวอีกว่า วันนี้ตนได้รับภารกิจให้มาเป็นพิธีกรภาคสนามในรายการเชื่อมั่นประเทศไทย เพื่อที่จะติดตามท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นผู้ชายที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในประเทศ และเป็นที่คาดหวัง เป็นความหวังของคนทั้งประเทศ ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไร
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงโครงการไทยเข้มแข็งว่า ตนคิดว่าเป็นปัญหาพื้นฐานของคนไทย ไม่ใช่ของคนไทย ของประเทศไทย และมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย คือการแก้ปัญหาในเรื่องของความยากจน เราอาจจะมองอยู่ในบางมาตรการ เช่น มีเงินทุนไปเพื่อให้กู้ยืม ไปล้างหนี้เขาทีหนึ่ง หรือว่าเป็นเกษตรกรก็มาพึ่งเรื่องของการแทรกแซงราคาพืชผล อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งโครงการพวกนี้เราก็พยายามทำให้เป็นระบบมากขึ้น แต่จริง ๆแล้ว คนจะหลุดพ้นจากความยากจนได้ พื้นฐานเป็นโครงสร้างของประเทศต้องเอื้ออำนวย ถ้าถนนหนทางดี การคมนาคมสะดวก นั่นหมายถึงเป็นการเปิดโอกาสให้คนทุกคน เดินทางก็สะดวกขึ้น ติดต่อก็สะดวกขึ้น เข้าถึงตลาด เอาผลผลิตของตัวเองไปตลาดก็สะดวกขึ้น และเป็นเรื่องคุณภาพชีวิต อย่างที่พูดถึงถนน ต้องเรียกว่าไร้ฝุ่น ไร้โคลน บางหน้าก็เป็นหลุม บางหน้าก็เป็นโคลน มันก็ควรจะมีการลงทุน โรงเรียนต้องมี ขาดแคลนอะไรเราก็ต้องเข้าไปช่วยดูแลลูกหลานให้เขามีสิ่งอำนวยความสะดวก มีอุปกรณ์การเรียน มีความพร้อมในโรงเรียน สถานีอนามัยซึ่งเป็นจุดแรกรับของคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยในชุมชน ต้องมี ควรจะมีการปรับปรุง อันนี้ก็ต้องทำ
นายกฯ กล่าวอีกว่า สำหรับภาคการเกษต รสำคัญที่สุด คือ เรื่องแหล่งน้ำ ปัญหาคือในหลายปีที่ผ่านมา ที่เราพูดว่ามีการแก้ปัญหาความยากจน การลงทุนในเรื่องเหล่านี้น้อยมาก และตนก็มาดูว่า ไม่ได้ประเมินเอง ต่างประเทศเวลาเขาจัดอันดับความสามารถของประเทศไทย เขาก็เอาปัจจัยพวกนี้ไปดู ถนนหนทางดีไหม การติดต่อสื่อสารสะดวกไหม ผลผลิตทางการเกษตรดีไหม อันดับพวกนี้เราลดลงเรื่อยๆ ตนก็บอกถึงเวลาที่ต้องลงทุน ทีนี้เกิดมาอยู่ในจังหวะที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ หลายคนอาจจะมองว่าถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอยู่ คงต้องรอกันต่อไป ตนกลับไม่ได้มองอย่างนั้น กลับมองว่ามันก็เป็นโอกาสนะ เพราะว่าถ้าเราทำตรงนี้ มันก็จะเกิดการกระจายเงิน การก่อสร้าง การจ้างงาน อย่างมหาศาลทั่วทุกพื้นที่ และก็คิดว่าคนก็เบื่อแล้ว ฟังว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยอะไร เมกะโปรเจกต์ มีรถไฟฟ้า 4 สาย แล้วก็โครงการขนาดยักษ์ 3-4 โครงการ สุดท้ายปรากฏว่าโครงการเหล่านี้มีความซับซ้อนขึ้นมานิดหนึ่ง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่วันนี้เรากำลังกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่เป็นเมกะโปรเจกต์ แต่โปรเจกต์ไม่รู้เป็นร้อยเป็นพันโครงการที่กระจายไปทั่วประเทศ ซึ่งตนเชื่อว่าบางโครงการจะมีปัญหาขลุกขลักบ้าง แต่เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งร้อยทั้งพันโครงการจะล้ม เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นโอกาสดีว่าเราก็ทำทั้งเรื่องลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมๆ ไปกับเสริมความเข้มแข็งให้กับประเทศ ให้กับประชาชนของเรา
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อไปว่า มีจุดที่มาถามว่าแล้วเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ ฐานะการคลังไม่ดี ไม่พร้อม จะทำอย่างไร ต้องไปกู้ยืมเงิน จะเป็นหนี้สินหรือเปล่า ตนก็บอกว่าเที่ยวนี้ตนไม่กู้จากต่างประเทศ เที่ยวนี้สิ่งที่กำลังทำอยู่ กำลังเอาเงินของคนซึ่งไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยต่ำและก็บ่นอยู่ว่าได้ ดอกเบี้ยต่ำ ธนาคารเองก็ยังจะไม่อยู่ในฐานะที่จะปล่อยสินเชื่อได้เยอะ เพราะยังมีความไม่แน่ใจเรื่องของโครงการต่าง ๆ ธุรกิจก็บ่นว่ากู้ยืมเงินไม่ได้ ขณะนี้เงินกองอยู่ในระบบธนาคารเฉยๆ ประมาณเกือบ 2 ล้านล้านบาท ก็เอาเงินตรงนี้มาใช้ คนไทยก็ไม่ต้องห่วงว่า เป็นหนี้เพิ่มขึ้นมาหรือเปล่า เราไม่ได้มีแผนการในการที่จะไปเพิ่มภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อที่จะมาคืนตรงนี้ เพราะเรารู้ว่าจากประสบการณ์ในอดีต พอเราลงทุนตัวนี้ พอเศรษฐกิจได้รับการกระตุ้นพอเศรษฐกิจพื้น รายได้รัฐบาลที่จัดเก็บ มันจะเพิ่มขึ้นมา และไปคืนหนี้ได้เอง เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เหมือนกับการทำธุรกิจ เหมือนกับการบริหารองค์กร หรือแม้กระทั่งการบริหารการเงินว่า ถึงจุดหนึ่งมันมีความจำเป็นต้องลงทุนก็ต้องทำ แต่สำคัญคือต้องลงทุนแล้วคุ้มค่า เพราะฉะนั้น สิ่งที่พยายามจะไปดูคือในทุกโครงการที่ไปเยี่ยม ความพร้อมที่จะดำเนินโครงการ ความต้องการของประชาชนสอดคล้องจริงหรือไม่อย่างไร ถ้าเป็นอย่างนี้ได้โครงการไทยเข้มแข็ง ก็จะบรรลุวัตถุประสงค์ คือกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงานด้วย และทำให้ประเทศไทย คนไทยมีความเข้มแข็งขึ้นมา มีความพร้อมขึ้นมา