ชื่นมื่นกันยกใหญ่สำหรับชัยชนะสองแม็ตช์ติดๆ กัน ของทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย
กับสนามเลือกตั้งซ่อมภาคอีสาน คือ สกลนคร และศรีสะเกษ
ถึงขั้นทักษิณเตรียมออกค่าตั๋วเครื่องบินกรุงเทพฯ-ดูไบ พร้อมเปิดโรงแรมหรูกลางดูไบ เลี้ยงฉลองให้กับทีมหาเสียงเพื่อไทย นำโดย เฉลิม อยู่บำรุง –ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และว่าที่ ส.ส.สกลนคร- อนุรักษ์ บุญศล และ ศรีสะเกษ-สุรชาติ ชาญประดิษฐ์ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
มองกันว่า ยามนี้เป็นขาขึ้นอย่างแท้จริงของทักษิณ และเพื่อไทย แต่ของอย่างนี้ มันก็บ่แน่หรอกนาย ชนะวันนี้ ก็แพ้ได้ในวันหน้า
อย่างไรก็ดี ที่แตกต่างกันสิ้นเชิง กับความคึกคักของเพื่อไทย ก็คืออาการไม่ยินดียินร้ายของ บรรหาร ศิลปอาชา ทั้งที่พรรคชาติไทยพัฒนา แพ้การเลือกตั้งทั้งที แต่แกนนำพรรคหลายคนไม่ใช่เฉพาะแค่บรรหาร
กลับถอดใจตั้งแต่ปิดหีบบัตรไม่นาน เสมือนหนึ่งกับคนของชาติไทยพัฒนา จะรู้อยู่แล้วว่า สนามเลือกตั้งครั้งนี้
ปิดประตูชนะ ตั้งแต่ยังไม่ลงทำศึก!
ทั้งที่ พรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทย ของเนวิน ชิดชอบ ก็หลีกทางให้ลูกพี่เก่า บรรหาร ด้วยการไม่ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยที่ ศรีสะเกษ คือถิ่นอีสานใต้ของเนวิน ซึ่งเจ้าตัวชำนาญการศึกมากกว่าที่ สกลนคร เขตซึ่งเนวินไม่คุ้นเคยเสียอีก
โดยที่สนามศรีสะเกษ บรรหาร ส่งนางสกุลทิพย์ อังคสกุลเกียรติ ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.) ลงชิงชัยกับ เพื่อไทย และ ชทพ. หวังผลกับพื้นที่นี้ไม่น้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เดิมเป็นของพรรคชาติไทย คือ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ ที่โดนพิษคดียุบพรรคชาติไทย เลยต้องเว้นวรรคการเมือง
แล้วพอมีการเลือกตั้งซ่อม ”ตระกูลอังคสกุลเกียรติ” ก็ส่ง สกุลทิพย์ มารดาอดีต ส.ส.สิริพงษ์ลงสมัคร เพราะมั่นใจในฐานเสียงของ สิริพงศ์
ผสมกับมีแบ็คอัพดีอย่าง ฉัฐมงคล อังคสกุลเกียรติ สามีนางสกุลทิพย์ ที่เป็นนายกเทศมนตรีศรีสะเกษ ที่อยู่ในพื้นที่ คุมฐานคะแนนเสียงระดับท้องถิ่นในศรีสะเกษเกือบ 20 ปี จนทำให้ลูกชายได้เป็น ส.ส.
ก็เลยคิดว่า ทุกอย่างมันจะง่าย
ทว่า ผลเลือกตั้งซ่อมกลับออกมาว่า สุตา พรมดวง จากประชาราช กลับชนะการเลือกตั้งแบบพลิกล็อก โดยคนของเพื่อไทย ช่วยเทคะแนนเสียงให้ ก่อนที่ต่อมา ส.ส.ไม่กี่เดือนอย่าง สุตา จะทำให้แวดวงการเมืองตะลึงกับการลาออกจาก ส.ส. เพื่อไปลงสมัคร อบต.แทน
อันสวนทางกับนักการเมืองส่วนใหญ่ที่ไต่เต้าจากท้องถิ่นไปเล่นการเมืองระดับชาติ แต่นี่กลับลาออกจากส.ส.ไปลงสมัคร อบต.!
เมื่อศึกเลือกตั้งศรีสะเกษรอบ 2 เริ่มคิกออฟ แม้จะมั่นใจว่า ชทพ. มีโอกาสชนะ แต่ก็มีข่าวว่า บรรหาร ก็ขอแรงเนวิน ให้สนับสนุนด้วยอีกแรง
เพราะเห็นว่าเนวิน เชี่ยวชาญพื้นที่นี้ ซึ่งมีข่าวว่าตอนแรกเนวิน ก็ตบปากรับคำเป็นอย่างดี แต่มีเงื่อนไขว่า ขอให้เสร็จศึกที่สกลนครก่อน แล้วจะมาช่วย เพราะเหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์น่าจะยกทัพมาช่วยได้ทัน
แต่ทว่า พอเนวิน พ่ายศึกเลือกตั้งสกลนครยับเยิน
ร่ำลือกันว่า พอเห็นผลคะแนนออกมา เพื่อไทย เอาชนะที่สกลนครถล่มทลายเกือบ 8 หมื่นคะแนน
ทั้งบรรหาร-เนวิน ก็ถอดใจแล้วว่า ศรีสะเกษ เสร็จโฟนอินมรณะของทักษิณร้อยเปอร์เซ็นต์
ส่งผลให้สนามเลือกตั้งศรีสะเกษ จึงไม่คึกคักเท่าที่ควร ทั้งที่ในช่วงลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้า มีคนไปลงคะแนนเสียงกันจำนวนไม่ใช่น้อย แต่พอผลเลือกตั้งสกลนคร ออกมา สนามศรีสะเกษก็กร่อยสนิท
โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์สุดท้าย ที่ปกติจะต้อง
แข่งขันกันอย่างเข้มข้น เพราะขณะที่เพื่อไทย ขนชุดใหญ่ลงสนาม อันเป็นทีมเดิมกับที่ชนะการเลือกตั้งที่สกลนคร ทั้ง เฉลิม อยู่บำรุง และพี่น้องชินวัตร “เยาวเรศ-พายัพ-ยิ่งลักษณ์” ที่ลุยหาเสียงเต็มที่นานนับสัปดาห์
แต่ ชทพ.กลับสู้ศึกเหมือนกับหาเสียงกันแบบขอไปที จนหลายคนบอกว่า ครั้งนี้ไม่เอาจริง
ตัวบรรหารเอง ซึ่งรู้กันดีว่า เป็นนักการเมืองที่ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งทุกระดับ หากเป็นการชิงชัยของคนในพรรค ครั้งนี้ก็ยังไม่ไปช่วยให้กำลังใจถึงพื้นที่
ผิดกับเนวิน ชิดชอบ ที่แม้จะติดโทษแบนการเมืองเหมือนกัน แต่ก็ยังไปบัญชาการรบที่สกลนคร นานนับเดือน
เรื่องติดโทษแบนการเมือง แล้วบรรหาร จะไปช่วยไม่ได้ จึงไม่ใช่เหตุผลที่ฟังได้สำหรับอาการเพิกเฉยของบรรหาร
สิ่งที่บรรหารยอมทำ ก็เพียงแค่ส่งสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล พร้อมกับส.ส.หน้าใหม่วัยละอ่อน ที่ส่วนใหญ่เป็น ส.ส.โนเนม ไม่มีแกนนำพรรคไปช่วย
แม่ทัพใหญ่อย่างเสี่ยตือ ก็เลยยิ่งทำให้สถานการณ์หนักขึ้นไปอีก เพราะตัวเสี่ยตือเอง ก็ไม่ใช่ ส.ส.อีสาน คนอีสานไม่รู้จัก
มันก็เลยเห็นชัดว่า ชทพ.ขึ้นชกแบบไม่เต็มที่ ไร้พี่เลี้ยง บรรหาร ก็ทำแค่โฟนอินไปที่เวทีปราศรัยของชาติไทยพัฒนา ที่ศรีสะเกษ เพื่อช่วยหาเสียงให้ลูกพรรคตามแบบทักษิณไม่กี่นาที ซึ่งก็สายเกินไปแล้ว เพราะทำในช่วงก่อนเลือกตั้งโค้งสุดท้ายไม่กี่ชั่วโมง แถมกลับไปเน้นเรื่อง
การบอกว่า นางสกุลทิพย์ ไม่ใช่คนของภูมิใจไทย อย่างที่มีข่าวลือในพื้นที่เป็นสำคัญ เหมือนกับหวังผลอะไรบางอย่าง
อย่าลืมว่า มังกรการเมืองอย่างบรรหาร เจ้าตัวมี ความเชี่ยวชาญการเลือกตั้งที่สะสมมาค่อนชีวิต จึงเพียงแค่ประเมินสถานการณ์ในพื้นที่นิดหน่อย ก็รู้แล้วว่าสนามไหนมีโอกาสชนะ สนามไหนสู้ไปก็แพ้สถานเดียว
และที่ศรีสะเกษ เมื่อการแข่งขันใกล้มาถึง มีหรือว่า คนอย่างบรรหาร จะอ่านไม่ออกว่า
โอกาสแพ้มากกว่าชนะ
นั่นอาจเป็นปฐมเหตุของการ “ออกหมัดไม่หวังผล” ของชาติไทยพัฒนาในสนามศรีสะเกษหรือไม่ ?
เพราะหากมองในทางการเมืองแล้ว ถึง ชทพ.ได้ส.ส.เพิ่มมาอีก 1 คน ก็ไม่มีผลทางการเมืองใดๆ กับบรรหารเลย เพราะยามนี้ ชทพ. เป็นพรรคที่ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆในการอยู่ร่วมรัฐบาลเลย เพราะปชป.ให้น้ำหนักภูมิใจไทย เป็นอันดับ 1 ตามด้วย เพื่อแผ่นดิน และ ชทพ. อันดับสาม
การที่พรรคจะมีส.ส.ขึ้นมาอีก 1 คน โดยบรรหาร อาจต้องทุ่มอะไรหลายอย่างในการเลือกตั้งซ่อมที่ศรีสะเกษ แล้วทุกอย่างยังเหมือนเดิม
ไม่มีการเพิ่มโควตารัฐมนตรี การจัดสรรงบประมาณต่างๆ กระทรวงในความดูแลของชาติไทยอย่าง เกษตรและสหกรณ์-กระทรวงท่องเที่ยว ก็แทบไม่ได้รับความสนใจจากปชป. แถมยังไม่มั่นใจว่าข่าวลือเรื่องกลุ่มตระกูล “อังคสกุลเกียรติ” จะย้ายไปภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะเป็นจริงแค่ไหน
และการเมืองที่ต้องมองกันหลายชั้น เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลแพ้ศึกเลือกตั้งให้กับเพื่อไทยที่อีสานสองนัดติดกัน แบบนี้ ก็อาจยิ่งทำให้นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-ประชาธิปัตย์ ต้องยอมรับเงื่อนไข
การแก้รัฐธรรมนูญ-นิรโทษกรรมคดีการเมือง
ตามที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่ต้องการ แต่ปชป.เล่นแง่ไม่บอกให้ชัด จะเอาด้วยหรือไม่มาตลอด แต่ครั้งนี้เมื่อปชป. เริ่มเห็นสัญญาณแล้วว่าโอกาสกลับไปเป็นฝ่ายค้านมีสูงไม่น้อยหากกระแสทักษิณยังแรงขนาดนี้ในอีสาน
ก็อาจต้องอ่อนข้อในเรื่องการยอมรับเงื่อนไขแก้ รธน. เพื่อจะได้เป็น “สัญญาใจ” กันว่า หลังการเลือกตั้งจะได้กลับมาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน เพราะประเมินแล้ว ต่อให้เพื่อไทยกระแสในอีสานดีอย่างไร ก็ยังต้องเป็นรัฐบาลผสมวันยังค่ำ แล้วหาก ปชป.ไม่ยอมรับเงื่อนไขแก้ รธน.
ความหลังเก่าๆ ของทักษิณ-บรรหาร ที่นั่งกินหูฉลามด้วยกันหลายครั้ง
ก็อาจทำให้เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจทางการเมืองอีกครั้งหลังเลือกตั้ง
บรรหาร ก็อาจสลับขั้วไปอยู่กับทักษิณ-เพื่อไทย ก็อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่หรือ?
สนามเลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ จึงเป็นการเลือกตั้งที่บรรหาร แพ้วันนี้ เพื่อรอชนะวันข้างหน้า ก็เป็นได้