รัฐอัดฉีดงบโครงการต้นกล้าอาชีพแล้วกว่า 1.8 พันล้าน ดันยอดแรงงานเข้าฝึกอบรมเสริมทักษะ 1.61 แสนคน เผย 3 เดือนที่ผ่านมา มีผู้สมัคร 113,629 คน แต่เข้าอบรมจริง 65,000 คน ที่ปรึกษานายกฯ ชี้เป็นโครงการมีประโยชน์ แต่คนสนใจน้อย
วันนี้ (25 มิ.ย.) รายงานข่าวทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า คณะทำงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้รับทราบผลการดำเนินงานตามโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน หรือโครงการต้นกล้าอาชีพ ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารโครงการฯ ได้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวไปแล้วทั้งสิ้น 1,831.31 ล้านบาท หรือคิดเป็น 26.54% ของงบประมาณทั้งหมด 6,900 ล้านบาท โดยเป็นงบที่จะจัดสรรให้แก่สถาบันจัดฝึกอบรมให้กับประชาชนทั่วไป 1,034.72 ล้านบาท จัดสรรให้กับส่วนราชการที่เข้าร่วมโครงการ 629.59 ล้านบาท และจัดสรรตามโครงการชะลอการเลิกจ้างที่ร่วมดำเนินการกับภาคเอกชน 167 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการในเดือนเมษายน ถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 113,629 คน แต่มีผู้เข้าฝึกอบรมเพียง 65,000 คน ขณะที่มีผู้ว่างงานที่เข้าร่วมโครงการของส่วนราชการ 41,009 คน และมีพนักงานบริษัทเอกชนเข้าร่วมโครงการชะลอการเลิกจ้าง 55,000 คน ดังนั้น เมื่อรวมทุกโครงการแล้วมีผู้เข้าฝึกอบรมทั้งสิ้น 161,009 คน
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริหารโครงการฯ ยังเห็นชอบการจัดสรรเงินอีก 288 ล้านบาท ให้แก่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เพื่อดำเนินโครงการทำดีมีอาชีพ โดยฝึกอบรมเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการและผ่านการฝึกอบรมแล้ว และเข้ารับฝึกทักษะวิชาชีพภายใต้โครงการต้นกล้าอาชีพ โดยมีเป้าหมายฝึกอบรมแรงงานให้ได้จำนวน 25,000 คน
ด้าน นายกนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการดำเนินโครงการต้นกล้าอาชีพ เปิดเผยว่า โครงการต้นกล้าอาชีพยังได้รับความสนใจจากประชาชนน้อย ทั้งที่เป็นโครงการดีและมีประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจ โดยจากจำนวนผู้จบหลักสูตรอบรมของโครงการดังกล่าว ล่าสุดพบว่ามีผู้ว่างงานต้องการกลับภูมิลำเนาประมาณ 30% ซึ่งภาครัฐจะส่งเจ้าหน้าที่ไปติดตามว่าแรงงานจำนวนนี้สามารถประกอบอาชีพเป็นของตนเองหรือมีงานทำหรือไม่ เนื่องจากแรงงานเหล่านี้ถือเป็นแรงงานที่มีทักษะและสามารถช่วยปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในระดับฐานรากได้ เพราะมีความรู้และทักษะในการเพิ่มผลผลิต
