อดีตเลขาฯ สมช.ตำหนิรัฐบาลอย่ามัวหลงตัวเองเดินถูกทางแก้ปัญหาชายแดนใต้ จี้รื้อหน่วยงานข่าวกรองทั้งระบบ เปิดแผนผู้ก่อเหตุปรับกลยุทธ์ใช้สงครามรูปแบบใหม่ โดยมีนักรบที่ได้รับการฝึกฝนคอยกำกับมือปฏิบัติการ พร้อมดึงมวลชนหวังสร้างอำนาจรัฐซ้อนรัฐ พร้อมเสนอ 3 แนวทางเป็นเครื่องชี้นำในการแก้ปัญหาให้ตรงจุด
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (16 มิ.ย.) น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นแห่งชาติ (สมช.) และอดีตสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ถึงความรุนแรงสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังเกิดคนร้ายยิงถล่มมัสยิด และลอบยิงครูรายวันว่า ถือว่างานข่าวกรองของรัฐล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ถึงเวลาที่จะต้องรื้อใหม่ทั้งระบบ และรู้สึกรำคาญกับคำพูดที่ระบุว่าการแก้ไขปัญหาได้เดินมาถูกทางแล้ว แต่ภาพที่เห็นกลายเป็นเดินเข้าสู่ป่าช้ามากว่าเพราะมีการฆ่ารายวัน และมองว่าการเพิ่มกำลังพลหรืองบประมาณในขณะนี้ยังไม่ถูกจุด เพราะขณะนี้มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารในพื้นที่รวม 5 หมื่นคน ไม่นับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง
น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ขณะนี้ปฏิบัติการการก่อการร้ายถือเป็นการทำสงครามรูปแบบใหม่ ที่แตกต่างจากในอดีต โดยแบบเก่ามักจะอ้างชื่อใช้สัญญลักษณ์หรือทิ้งร่องรอยแสดงให้เห็นเพื่อแสดงความรับผิดชอบในการกระทำ เพื่อสร้างชื่อเสียง นั่นคือจุดประสงค์ต้องการแบ่งแยกดินแดนเพื่อสร้างรัฐใหม่อย่างชัดเจน แต่สงครามรูปแบบใหม่ เป็นไปในลักษณะเครือข่ายที่มีหน่วยปฏิบัติการฝังตัวอยู่ทั่วในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เน้นสร้างผลงานเพื่อสร้างอำนาจรัฐซ้อนรัฐ โดยการเข้าถึงดึงมวลชนเพื่อแบ่งแยกประชาชน ซึ่งถือว่าอันตรายมากหากรัฐไม่เข้าใจในจุดนี้
อดีต สมช.ยังกล่าวเตือนรัฐว่าอย่ามัวหลงตัวเองว่าเดินมาถูกทางแล้ว และมวลชนให้ความร่วมมือมากขึ้น และอย่าไปจับแพะในคดีถล่มยิงมัสยิดเพราะจะยิ่งสร้างปัญหามวลชน ส่วนเพิ่งไปออกตัวว่าเหตุดังกล่าวไม่ใช่ฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐแน่นอน เท่ากับเป็นการยุยงและจุดชนวนสร้างเงื่อนไขให้กับมวลชนอีกมวลชน ทั้งที่ไม่ทราบว่าเข้าใจคำว่าใช้การเมืองนำการทหารเพื่อแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้หรือไม่ เพราะหากใช้การเมืองจริงจะต้องปลอดอาวุธให้หมดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการหลั่งเลือด
น.ต.ประสงค์ ยังได้เสนอแนวคิด 3 เรื่อง ในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายภาคใต้ว่า 1.ภาครัฐจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในการต่อสู้ในรูปแบบการก่อเหตุ ซึ่งต้องยอมรับว่าฝ่ายก่อการร้ายมีชัยเหนืออำนาจรัฐ เพราะเปิดเกมรุกอยู่ตลอดและมีนักรบที่ผ่านการฝึกมาจากภายในนอกประเทศ มาคอยชี้นำผู้ปฎิบัติการ 2.เรื่องมวลชน ฝ่ายผู้ก่อเหตุได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่เพิ่มขึ้น เพราะขาดความไว้วางใจเจ้าหน้าที่รัฐ และ 3.ภาครัฐซึ่งมีอำนาจที่เหนือว่าอยู่ในมือ มีประสิทธิภาพทั้งด้านบุคคลากร-อาวุธ แต่ทำไมกลับเพลี่ยงพล้ำ แสดงว่าต้องมีหนอนบ่อนไส้ รับรู้ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ตลอดเวลา
ในช่วงท้าย น.ต.ประสงค์ได้กล่าวเตือนนายกรัฐมนตรีว่าอย่าปฏิเสธรับความผิดชอบ ในเรื่องปัญหาปัญหาความมั่นคงแม้ว่าจะมอบหมายให้ผู้อื่นไปแล้ว และขอรับคำท้าว่าหากได้เป็นนายกรัฐมนตรีจะขอเวลา 3 เดือนเพื่อแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน