xs
xsm
sm
md
lg

“สุเทพ” ทุ่มงบ 1.8 หมื่นล้านบาท ลงชายแดนใต้ หวังดับไฟใต้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี
รองนายกฯ ระบุ ภายหลังประชุมร่วมหน่วยงานขับเคลื่อนแผนพัฒนาพื้นที่พิเศษ ลั่นทุ่มงบ 1.8 หมื่นล้านบาท ลงพื้นที่ชายแดนใต้ หวังทำไฟใต้สงบ เชื่อแผนที่กำหนดจะทำให้สถานการณ์สงบลงได้ ด้าน “พล.อ.อนุพงษ์” ย้ำใช้การพัฒนานำการทหาร ระบุ ดึงมวลชน 2.4 ล้านคน มาเป็นพวกให้ได้ ยอมรับงงไม่รู้จัดการอย่างไร เหตุจะใช้กำลังปราบปรามทันทีไม่ได้ ส่วน “ผอ.ศอ.บต.” ระบุโจรใต้เปลี่ยนยุทธวิธี สร้างอาณาจักรแห่งความกลัว


วันนี้ (10 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 13.00 น.นายสุเทพ เทพสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนพัฒนาพื้นที่พิเศษ แผนพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก พล.ท.พิเชษฐ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 นายพระนาย สุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผอ.ศอ.บต.) รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

จากนั้นเวลา 15.15 น.นายสุเทพ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุม ว่า ได้พิจารณาแผนงานและงบประมาณที่รัฐบาลกำหนดไว้ ปรากฏว่า โครงการทั้งหมดที่จะดำเนินการในปี 2553 จะใช้งบประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท โดยใช้จากงบประมาณประจำปีปกติ 6,000 ล้านบาท ส่วนอีกกว่า 1 หมื่นล้านบาทนั้น จะใช้จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ และตกลงกันว่าจะทำคู่มือการปฏิบัติงานให้ทุกส่วนราชการในพื้นที่ได้เข้าใจ และปฏิบัติตามคู่มือ โดยกำหนดปฏิทินการทำงานอย่างชัดเจนไว้แล้ว เพื่อให้แผนงานเสร็จตามเเผนที่กำหนดไว้ บางอย่างก็ต้องการให้ไปออกแบบ กำหนดเงื่อนไข รวมทั้งหาผู้รับจ้าง เมื่องบประมาณอนุมัติแล้วก็จะลงมือทำงานทันที เพราะที่แล้วมาเกิดปัญหาว่า พ.ร.บ.งบประมาณผ่านไป 5-6 เดือนแล้ว ยังหาผู้รับจ้างไม่ได้จึงไม่สามารถเบิกเงินได้จนมีปัญหาด้านการพัฒนา และไม่เป็นไปตามที่ต้องการ

นายสุเทพ กล่าวว่า ที่ประชุมมอบให้ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 และ ผอ.ศอ.บต.ไปหารือกันเพื่อยกร่างคู่มือการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผนพัฒนาพิเศษแล้วนำเสนอที่ประชุมครั้งต่อไปด้วย หากที่ประชุมเห็นชอบก็จะให้ทุกส่วนราชการยึดถือและปฏิบัติต่อไป และยังหารือการจัดงบประมาณให้ครบถ้วนตามแผนงานที่ ครม.เคยอนุมัติไว้ โดยได้ปรับให้เรียบร้อย และยังพิจารณามาตรการพิเศษในการช่วยเหลือนักลงทุน พ่อค้า ผู้ประกอบการต่างๆ เช่น มาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยผ่อนปรน การลดภาษีนิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนบริษัท การจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์และมาตรการพักหนี้เกษตรกร โดยที่ประชุมเห็นชอบแนวทางนี้ก่อนที่จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ภาคใต้พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 11 มิ.ย.ต่อไป

เมื่อถามว่า ระยะเวลาของแผนทั้งหมดจะใช้เวลาเท่าใด นายสุเทพ กล่าวว่า จะเริ่มตั้งแต่ปี2552-2555 โดยงบประมาณปี 2552 เหลือราว 8,000 ล้านบาท และต้องนำไปปรับให้เข้ากับแผนพัฒนาพิเศษ ส่วนปีอื่นๆ นั้นจะมีแผนและกรอบงบประมาณที่ชัดเจนไว้แล้ว เมื่อถามว่า ได้หารือเกี่ยวกับเหตุรุนแรงในพื้นที่บ้างหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่มีอะไร วันที่ 11 มิ.ย.ผบ.ทบ.จะไปรายงานต่อที่ประชุม ครม.ภาคใต้ ส่วนความคืบหน้าล่าสุดนั้น ผบ.ทบ.ก็รายงานให้รับทราบนิดหน่อยและควรไปสอบถาม ผบ.ทบ.เอง

ด้าน นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย กล่าวว่า กรอบงบประมาณปี 2553 ที่ผนวกด้วยแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 รวมทั้งสิ้น 1.8 หมื่นล้านบาทนั้น จะเสนอให้ที่ประชุม ครม.ภาคใต้วันที่ 11 มิ.ย.ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณาอีกครั้ง พร้อมกับมอบหมายให้สภาพัฒน์ไปศึกษาในรายละเอียด เนื่องจากมีงบประมาณบางรายการไม่ลงตัว เบื้องต้นเป็นงบประมาณปกติ 6 พันล้านบาท ในขณะที่งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้นายกฯยังได้รับข้อเสนอภาคเอกชน 6 ข้อ พร้อมทั้งยังได้เพิ่มความช่วยเหลือ โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างให้กับเกษตรกรและซื้อหนี้โดยได้มอบหมายให้ ธ.ก.ส.ไปจัดทำรายละเอียดว่าในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะมีเกษตรกรรายใดบ้างเข้าร่วมโครงการ

ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์ว่า การแก้ปัญหาภาคใต้นั้นเดินมาถูกทางแล้ว โดยใช้โครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อเอาชนะทางด้านจิตใจ การทำแบบนี้ได้นั้นต้องใช้เวลาปรับเปลี่ยนให้เข้าที่เพราะที่ผ่านมาความคิดที่ไม่ตรงและแตกแยกในอดีตนั้น ต้องใช้การพัฒนาไปแก้ไข และการประชุมในวันนี้จะนำโครงการพัฒนาไปแก้ปัญหาในพื้นที่เพื่อให้ประชาชนพอใจ ปัญหาทั้งหมดก็จะหมดไป

เมื่อถามว่า จะรายงานอะไรบ้างต่อที่ประชุมครม.ภาคใต้ในวันที่ 11มิ.ย.หลังจากลงพื้นที่มาแล้ว ผบ.ทบ.กล่าวว่า จะรายงานสถานการณ์ที่ผ่านมาให้ ครม.รับทราบ เมื่อถามถึงตัวเลขของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่มีนับแสนนายจริงหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่ถึงขนาดนั้น เจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วยงานมี 6.6 หมื่นคน เมื่อถามว่าเหตุใดช่วงนี้มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นมาก ผบ.ทบ.กล่าวว่า ประเมินการทำงานแล้วพบว่า สิ่งที่ทำไปนั้นเป็นสิ่งที่ดี ฝ่ายตรงข้ามต้องตอบโต้กลับมา โดยเฉพาะการประชุมโอไอซีในสัปดาห์หน้า ตนคิดว่าเจ้าหน้าที่ทำงานได้ดีมาก ฝายนั้นต้องตอบโต้กลับ

เมื่อถามว่า แนวทางการแก้ปัญหาตอนนี้ คือ การทหารนำการเมือง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ เข้าใจผิดทั้งหมด ประเด็นสำคัญในการลงไปทำงานครั้งนี้ คือ นำโครงการพัฒนาของกระทรวงต่างๆ ไปแก้ปัญหา การทำงานที่ผ่านมาก็ทำงานในพื้นที่ได้ โดยใช้กำลังพลของทหารนำโครงการเข้าพื้นที่ได้ ที่ผ่านมา ก็เข้าไปได้แล้ว เพื่อรักษาผลประโยชน์ประชาชน 2.4 ล้านคนเศษ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความไม่เข้าใจและไปร่วมกับผู้ก่อความไม่สงบ ที่ผ่านมานั้นประชาชนเข้าใจแนวทางของรัฐบาลแต่เหตุการณ์จะหมดไปนั้นต้องใช้การพัฒนาเป็นแนวทางเด็ดขาดที่จะทำให้เกิดความสงบ โครงการต่างๆนั้นบางครั้งต้องใช้ทหารนำเข้าในพื้นที่เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย และโดนชักจูงจากผู้ก่อความไม่สงบ

เมื่อถามว่า ตอนนี้ผู้ก่อความไม่สงบมีมากน้อยเพียงใด ผบ.ทบ.กล่าวว่า ตนเคยพูดไปแล้วและไม่ขอพูดอีก เพราะมีทั้งการตรวจสอบและยืนยันได้จำนวนหนึ่ง รวมทั้งตรวจสอบไม่ได้อีกจำนวนหนึ่ง ตนย้ำอีกครั้งว่าจะใช้การเมืองนำการทหารและใช้การพัฒนานำเข้าไปในพื้นที่เพื่อสร้างความสงบ ทหารเข้าไปรักษาสถานการณ์ให้สงบเรียบร้อยเพราะวันนี้ยังมีผู้ก่อความไม่สงบอยู่ เหตุการณ์ยังเกิดขึ้นเพราะคนกลุ่มนี้และใช้การทหาแก้ไขยังไม่ได้ มันจึงวนไปวนมา แต่ตนเชื่อว่าจะเรียบร้อยแน่นอน ขอให้สื่อมวลชนทำความเข้าใจกับประชาชน เชื่อว่า สุดท้ายแล้วเหตุการณ์จะต้องสงบ

เมื่อถามว่าเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงนี้ที่เกิดขึ้น มาจากผู้ก่อความไม่สงบไม่พอใจประชาชนที่ไปรว่มมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ ผบ.ทบ.กล่าวว่า เป็นประเด็นที่กังวลอยู่ เพราะหากประชาชนทั้งหมดในพื้นที่ให้ความร่วมมือ เข้าใจที่ดีกับรัฐบาลนั้น ก็จะเป็นจุดที่ฝ่ายนั้นไปสร้างความไม่สงบและรุนแรงเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด ยืนยันว่า เหตุการณ์ในช่วงนี้มันโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ก็ขอให้ช่วยกันประณามด้วย ส่วนทหารที่อยู่กับประชาชนนั้นก็ไปสร้างความเข้าใจแล้วจึงอยู่กับประชาชนได้เพราะเราใช้มาตรการการสร้างความเข้าใจ แม้แต่ผู้ก่อความไม่สงบก็พยายามใช้แนวทางสร้างความเข้าใจเพื่อดึงเข้ามาร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ แต่บางคนที่กระทำสิ่งผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดีไป

เมื่อถามว่า สถานการณ์ตอนนี้ควรเพิ่มกำลังพลลงไปในพื้นที่หรือไม่ ผบ.ทบ.กล่าวว่า ไม่มี ตนสั่งการไปในวันนี้ ว่า ในพื้นที่ใดมีความจำเป็นและรุนแรง ก็ขอให้เจ้าหน้าที่รัฐงดการลา หากมีความจำเป็นโยกเจ้าหน้าที่จากพื้นที่ที่ไม่มีความเสี่ยงไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยงก็จำเป็นต้องกระทำ ตนคิดว่ามันน่าจะบริหารงานด้านกำลังพลได้โดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนเพราะการเพิ่มกำลังนั้นต้องใช้เวลาที่จะให้ทหารเรียนรู้และปรับตัว ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ดีก็จะเพิ่มได้

เมื่อถามว่า สถานการณ์ช่วงนี้ทำให้ยกเลิกกฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ได้ ผบ.ทบ.กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งหากจำเป็นต้องใช้กฎหมาย ก็จะเรียนให้รัฐบาลพิจารณา หากจำเป็นต้องใช้ก็บอกไปว่าจำเป็นต้องใช้ เมื่อถามว่า ตอนนี้ยังยึดหลักการพัฒนาไปแก้ไขปัญหา แต่ฝ่ายตรงข้ามใช้ความรุนแรง ผบ.ทบ.กล่าวว่า จะใช้กำลังไปปราบปรามนั้น ไม่ได้แน่นอน เพราะผู้ก่อความไม่สงบนั้น การแก้ปัญหานั้นส่วนหนึ่งต้องใช้มาตรการทางกฎหมายและใช้มาตรการพัฒนาเพื่อพยายามเปลี่ยนคนเหล่านี้ มันทำได้แค่นี้ แต่ก็พยายามดูแลประชาชนในพื้นที่ไม่ให้ไปอยู่กับแนวทางของผู้ก่อความไม่สงบและใช้ให้เป็นกลไกไม่ให้ผู้ก่อความไม่สงบก่อเหตุได้ เราไม่ได้ลงไปเพียงยุติเหตุเท่านั้นเพราะภารกิจคือรักษาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ให้โดนแบ่งแยกไปได้ มันคือเป้าหมายหลักที่จะทำให้ประชาชนอยู่กับฝ่ายเรา ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็ต้องใช้กฎหมายดำเนินการ หนทางทั้งหมดคือการใช้แนวทางพัฒนา และจะใช้แนวทางการทหารเข้าไปไม่ได้ หากทหารไม่ลงไปดูแลประชาชนในพื้นที่ก็จะโดนฝ่ายตรงข้ามครอบงำและทำให้ผู้ก่อความไม่สงบเพิ่มจำนวนขึ้น อำนาจรัฐก็จะลงไปพัฒนาพื้นที่ไม่ได้ ฉะนั้นการใช้แนวทางการทหารเป็นหลักนั้นจะแก้ปัญหาได้ไม่ยั่งยืน

“ทหารลงไปประคองสถานการณ์เพื่อให้การพัฒนาเดินหน้าได้” ผบ.ทบ.กล่าว เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ ว่า ประชาชนไม่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ผบ.ทบ.กล่าวว่าการประเมินเหตุการณ์ปัญหาตั้งแต่ปี 2547 นั้น วันนี้ประชาชนยอมรับเจ้าหน้าที่ได้ เพราะสามารถไปพูดคุยกับประชาชนได้ ตนคิดว่ามันคือตัวชี้วัดความสำเร็จในสิ่งที่ประชาชนยอมรับอำนาจและเจ้าหน้าที่รัฐแต่เรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครมอง

เมื่อถามว่า มีข้อมูลว่า 200 กว่าหมู่บ้าน ยังเป็นพื้นที่สีแดง ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐยังเข้าไปไม่ได้ ผบ.ทบ.กล่าวว่าไมใช่อย่างนั้น จำนวนหมู่บ้านในข้างต้นนั้น ตนทราบมาตั้งแต่ต้นว่ามีการจัดตั้งอำนาจซ้อนอำนาจรัฐอยู่รวม 217 หมู่บ้าน โดยเจ้าหน้าที่ได้ลงไปยังทุกหมู่บ้านเพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนแล้ว แต่วันนี้สภาพของหมู่บ้านเหล่านี้เปลี่ยนไปแล้วโดยเป็นเหมือนหมู่บ้านทั่วๆ ไป เมื่อถามว่า มีข้อมูลการสร้างอำนาจซ้อนอำนาจรัฐหรือไม่ และเป็นกลุ่มใหม่หรือกลุ่มเก่า ผบ.ทบ.กล่าวว่า ตนมีรายชื่ออยู่ และตามรายงานนั้นเป็นกลุ่มที่รู้กันมา2-3ปีแล้ว เมื่อถามว่า บางฝ่ายมองว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มใหม่เพราะวิธีการเปลี่ยนไป ผบ.ทบ.กล่าวว่าน่าจะเป็นกลุ่มเดิมแต่แนวทางและการปฏิบัติการเปลี่ยนไป เพราะประชาชนเริ่มเข้าใจแนวทางและวิธีของเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว

เมื่อถามว่า เมื่อมีรายชื่อผู้ก่อความไม่สงบแล้วเหตุใดยังจัดการไม่ได้ ผบ.ทบ.กล่าวว่า “นั่นสิครับ เราถึงต้องใช้การพัฒนาซึ่งเป็นการสร้างความพึงพอใจว่าทำอย่างไรคนพวกนี้จึงจะพอใจ มันต้องใช้เวลา และผมก็ตอบไม่ได้นะ” เมื่อถามว่า เจ้าหน้าที่รัฐอาจไม่มีหลักฐานพอที่จะจัดการคนกลุ่มนี้ ผบ.ทบ.กล่าวว่า ถูกต้อง ตนเรียนไปแล้วว่า ผู้ก่อเหตุนั้นจะจัดการได้โดยพยายามเปลี่ยนคนพวกนี้หากไม่มีความผิดตามหมายจับ มาตรการทางกฎหมายนั้นต้องดำเนินการตามหลักฐานและนิติวิทยาศาสตร์ หากจับกุมแล้ว หลักฐานไม่พอ แม้จะรู้ว่าใช่นั้น แต่หลักฐานไม่สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้ก็ต้องปล่อยไป ที่เหลือต้องใช้วิธีการปะทะ ฉะนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าจะมากหรือน้อย มันอยู่ที่ว่าคนพวกนี้จะโหมก่อเหตุอย่างไร และเจ้าหน้าที่จะป้องกันมากน้อยเพียงใด หากไปป้องกันในพื้นที่ต่างๆ ได้เรียบร้อย คนพวกนี้ก็ไปก่อเหตุในพื้นที่อื่น เช่น พื้นที่ที่ไม่มีประชาชน แต่สื่อมวลชนก็ประโคมข่าวว่าลุกเป็นไฟ ตนก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเพราะมันลุกเป็นไฟจริงๆ

เมื่อถามว่า นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐอาจเข้าพื้นที่ได้น้อย ปัญหาความไม่สงบ เช่น เหตุการณ์มัสยิดอัลกูรกอน อซเจาะไอร้อง จ.ยะลาจึงเกิดขึ้น ผบ.ทบ.กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์น่าจะพูดในภาพรวม หากให้ตนอธิบายนั้น หากเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตลอดเจ็ดวันโอกาสสร้างความเข้าใจก็จะมี หรือฝ่ายอื่นจะก่อเหตรุนแรงมันก็ทำได้ยาก แต่หากเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ได้น้อยวัน ฝ่ายอื่นก็จะเข้ามา

“เหตุการณ์ที่มัสยิดแห่งนี้ผมไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้ลงไปดูในมัสยิดตลอดเวลา เพราะต้องตรวจและดูแลตลาด ชุมชน รวมทั้งพื้นที่ที่มีประชาชน แต่บอกผู้ใต้บังคับบัญชาไปแล้วว่ามาตรการดูแลประชาชนนั้นต้องเข้มข้น เข้มงวด รัดกุมขึ้น” ผบ.ทบ.กล่าว เมื่อถามว่า พฤติกรรมของผู้ก่อความไม่สงบจะพัฒนาไปข้างหน้าอย่างไรหลังก่อเหตุคาร์บอมบ์ ผบ.ทบ.กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตนบอกให้เจ้าหน้าที่พยายามขอความร่วมมือจากประชาชนถ้าเราตั้งด่านตรวจรอบเมือง ผลกระทบก็จะเกิดกับประชาชนสูงมาก ถ้าทำอย่างนั้นไม่ได้ก็ต้องเอาไปจอดในพื้นที่ที่ไม่มีคน และต้องมีการตรวจและจัดจอดโซนจอดรถ อย่าให้รถเข้ามาในพื้นที่ชุมนุมโดยไม่มีการตรวจสอบ แต่พอเราทำในเมืองก็ไปทำในพื้นที่อื่น”

เมื่อถามว่า รูปแบบการก่อเหตุจะพัฒนาเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆหรือไม่ ผบ.ทบ. กล่าวว่า ตนว่าไม่ใช่การพัฒนาเขาปรับเปลี่ยน พอเราไปทำเรื่องนั้นเขาก็ไปตรงจุดอื่น เราดูตรงที่อ่อน พออีกที่หนึ่งอ่อนเขาก็ไปทำ เมื่อถามว่า กองทัพจะทำความเข้าใจกับพื้นที่อย่างไร ผบ.ทบ.กล่าวว่า ตนได้กำชับให้เจ้าหน้าทีอย่าทิ้งประชาชน เราอยู่กับเขาอยู่แล้ว เขาเข้าใจเรียนว่าทหารและตำรวจในพื้ที่กว่า 4 หมื่นคนถ้าทำอะไรผิดธรรมนองคลองธรรมก็อยู่ไม่ได้มานานแล้ว เหตุการณ์ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมาเราอยู่กับชาวบ้านด้วยความเข้าใจอันดี โดยหลักการง่ายถ้าเราทิ้งคนที่ก่อการร้ายก็จะโตขึ้น หากพื้นที่เราเข้าไปน้อย คือ 7 วันเราเข้าไปแค่ 2 วันเขาก็จะมาดึงชาวบ้านให้หลงผิด จึงต้องเอาการพัฒนาลงไปเพื่อช่วยให้คุณภาพชีวิตของชาวบ้านดีขึ้น ซึ่งจะเป็นหนทางเดียวที่จะชนะ

เมื่อถามว่า นายอภิสิทธิ์ จะลงพื้นที่ในช่วงปลายเดือนนี้จะรับรองความปลอดภัยให้ได้หรือไม่ ผบ.ทบ.กล่าวว่าไม่ต้องกลัว เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าอาจจับตัวเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะบุคคลสำคัญเป็นตัวประกัน ผบ.ทบ.กล่าวว่า จะจับอะไรนั้นไม่ต้องคิด เจ้าหน้าที่รัฐจะกลัวไม่ได้ กลัวไม่กลัวก็ต้องไปทุกคน มันไม่เป็นไรหรอก

ด้าน นายพระนาย สุวรรณรัฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ผอ.ศอ.บต.) กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้ก่อการต้องการสร้างอาณาจักรแห่งความหวาดกลัว ถือเป็นการเปลี่ยนยุทธวิธีจากเดิมไม่เคยทำในพื้นที่หรือกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น เดิมจะไม่ซุ่มโจมตีชุดลาดตระเวนครูช่วงไปส่งครูและนักเรียนที่โรงเรียน แต่จะซุ่มโจมตีขากลับภายหลังชุดคุ้มครองส่งครูและนักเรียนแล้ว หรือแม้แต่การยิงประชาชนในมัสยิด ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถือเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความขัดแย้งทางศาสนา แต่เชื่อว่าการกระทำแบบนี้จะไม่เกิดผลและเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เป็นเพราะกลุ่มคนบางกลุ่มที่ไม่หวังดีต่อชาติ เรื่องนี้ผบ.ทบ.จะไปปรับยุทธวิธีในการเฝ้าระวัง โดยจะเป็นการดูแล ทุกพื้นที่ เพราะบางพื้นที่ผ่านมาอาจจะดูแลไม่ทั่วถึง เช่น ร้านคาราโอเกะ ช่วงตี 2-3 ไม่มีชุดลาดตระเวน แต่ต่อไปอาจจะมีการลาดตระเวนให้เข้มข้นขึ้น อย่างไรก็ตามการกระทำดังกล่าวไม่ใช่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ อยากให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการคิด ต้องอดทน อย่าใช้อารมณ์ต้องมีความหนักแน่น ยืนยันว่างบประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท จะดูแลประชาชน 2 ล้านคนเศษอย่างทั่วถึง

นายพระนาย กล่าวว่า ยืนยันว่ากลไกของศอ.บต.นั้นไม่มีอะไรที่เป็นความล้มเหลวจนเกิดเหตุรุนแรงในช่วงนี้ ยืนยันว่า ประชาชนมั่นใจและไว้ใจเจ้าหน้าที่รัฐ แม้เหตุการณ์ล่าสุดที่มัสยิดอัลกูรกอน อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส นั้น ไม่ใช่ฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ ยอมรับว่า จากนี้ไปทหารต้องปรับบทบาทและวิธีการรักษาความปลอดภัยให้ประชาชนมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น