โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ หนุนรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เชื่อไตรมาสสี่พ้นจุดต่ำสุดของปี แนะเร่งสขอความร่วมมือฝ่ายค้าน-ส.ว. เร่งสร้างทำความเข้าใจประชาชนเหตุจำเป็นเร่งรัดโครงการไทยเข้มแข็ง เชื่อส่งผลต่อภาวะว่างงาน ตอกกลับ ส.ส.เพื่อไทย ดูถูกคนกรุงเทพ อัดชุมนุมใหญ่ 27 มิ.ย.นี้ไม่ได้หวังดีต่อประเทศ ทำให้บ้านเมืองสงบจริง ชี้ “เพื่อไทย-แดงถ่อย” เคลื่อนไหวสอดคล้องกัน
วันนี้ (6 มิ.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเวลา 10.30 น. นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอสนับสนุนให้รัฐบาลทำงานสำคัญ เพื่อผลักดันให้พ้นภาวะตกต่ำที่สุดภายในไตรมาสสองและสามของปีนี้ โดยคาดว่าไตรมาส 4 การเร่งรัดมาตรการเฉพาะหน้า จะทำให้เศรษฐกิจพ้นจุดต่ำสุด และกลับมาบวกในไตรมาสที่สี่ นอกจากนี้ ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ใช้เวลาทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายในความจำเป็นในการลงทุนภายใต้โครงการปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โดยการขอความร่วมมือจากพรรคฝ่ายค้านและวุฒิสภาในการผ่านร่าง พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีผลสำคัญมากต่อการแก้ไขวิกฤตการเลิกจ้าง โดยคาดหวังว่าจะเพิ่มการจ้างงานงานใหม่ได้ 1.5-2 ล้านตำแหน่งในช่วงสองถึงสามปี เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤติสังคมจากภาวะการว่างงาน
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่สองคือการรักษาราคาผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งขณะนี้เงื่อนไขสำคัญคือ วิธีการระบายสินค้า และการจำนำในช่วงสุดท้ายที่เป็นนโยบายผูกพันจากรัฐบาลชุดที่แล้ว และการเตรียมพร้อมไปสู่การประกันราคาและการซื้อขายล่วงหน้า โดยยึดถือการดำเนินมาตรการให้ประโยชน์ตกแก่เกษตรกรอย่างแท้จริง จากปัญหาในอดีตที่มาตรการการจำนำมีส่วนทำให้เกิดการเอื้อประโยชน์ต่อพ่อค้าและคนกลาง ส่วนนี้มีส่วนสำคัญในการรักษารายได้จากราคาของผลผลิตทางการเกษตร
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า สำหรับปัญหาค่าครองชีพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างมากต่อปัญหาจากรายได้ที่ลดลงทำให้กำลังซื้อของครอบครัวถดถอยลงอย่างมาก ปัญหาค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาธารณูปโภคและอุปโภคที่จำเป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพลังงาน ก็มีการสานต่อมาตรการในช่วงหกเดือนแรก ตอนรัฐบาลเข้ามาก็ลดเหลือ 5 มาตรการ โดยในช่วงกรกฎาคมนี้นั้น รัฐบาลจะทบทวนสภาพการปัญหาค่าครองชีพในปัจจุบันและมีการปรับเปลี่ยนมาตรการให้สอดคล้องกับปัญหาในปัจจุบันที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป เช่น ขณะนี้แม้ว่าเงินเฟ้อจะติดลบ แต่ว่าราคาน้ำมันก็สูงขึ้น 80-85 เหรียญต่อบาร์เรล ในขณะนี้กำลังซื้อลดและหดตัวลงอย่างมาก สามเรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจผ่านพ้นจุดต่ำสุด
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขสำคัญที่สุดในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้น คือปัจจัยการเมืองภายในประเทศ เพราะหากการปลุกระดมและการเตรียมการชุมนุมในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ ยังดำเนินการในลักษณะที่มีการเคลื่อนไหวที่ไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองสงบอยางต่อเนื่องอยู่ เงือนไขความขัดแย้งจะนำไปสู่ความวุ่นวายในบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและประเทศไทยที่เริ่มดีขึ้น และอาจจะทำให้เกิดภาวะความวุ่นวายเกิดขึ้นและไม่สามารถป้องกันได้สำเร็จ จะทำให้แม้ว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มดีขึ้น แต่ไทยอาจจะไม่ดีขึ้นตาม จึงเป็นส่วนสำคัญที่อยากให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมกันให้การชุมนุมเป็นไปโดยสงบไม่มีความรุนแรง และสังคมก็ออกมาปฏิเสธแนวทางที่จะสร้างความขัดแย้งขึ้นในบ้านเมือง
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า สำหรับเงื่อนไขที่จะให้คนออกมาร่วมชุมนุมนั้น อาจใช้วิธีการใส่ร้ายและสร้างหลักฐานเท็จ ซึ่งเป็นเรื่องที่เรากังวล เนื่องจากฝ่ายที่มีส่วนสำคัญในการขัดแย้งทางการเมืองนั้นไม่ยอมรับผลสอบของคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ทางการเมืองทั้งสองชุด จึงยากที่จะหาทางออก การใช้เงื่อนไขการออก พ.ร.ก.กู้เงินของรัฐบาลมาชุมนุม และขับเคลื่อนการเมืองนอกสภา หากชุมนุมในลักษณะต่อเนื่อง ก็ยากที่จะเป็นการชุมนุมไปโดยสงบ อยากให้เงื่อนไขการชุมนุมทั้งสองเงื่อนไขยุติในกระบวนการรัฐสภา ซึ่งรัฐบาลพร้อมจะเปิดเผยในรายละเอียดและเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายกันอย่างเต็มที่ เพราะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
นพ.บุรณัชย์ กล่าวต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอสนับสนุนแนวทางของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการที่จะทำให้ปัญหาการทุจริตในแวดวงต่างๆ ของสังคมไทยเป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะการทำลายค่านิยมอันตรายที่ยอมรับการทุจริตที่กำลังเกิดขึ้นในหลายส่วนของสังคม โดยจะต้องมีการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่วมเฝ้าระวังเพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน เรายอมรับว่าภาพเหตุการณ์เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในการเรียกรับสินบนจากนักการเมืองท้องถิ่นกระทบความรู้สึกของประชาชนเป็นอย่างมาก และเห็นว่าเรื่องการแก้ไขปัญหาทุจริตระดับชาติจะต้องเริ่มต้นที่ภาครัฐทั้งสามส่วนคือราชการ องค์กรอิสระและภาคนักการเมืองเอง สำหรับพรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนให้อายุคดีความที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตไม่มีอายุความ และสนับสนุนแนวทางที่ให้การกระทำทุจริตจากหน่วยงานรัฐและองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ในการเฝ้าระวังแก้ไขปัญหาทุจริต หากปัญหาการทุจริตเกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าหน้าที่เอง สนับสนุนให้มีโทษเป็นสองเท่าของบุคคลทั่วไป ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็มีมาตรการนี้อยู่แล้ว
นพ.บุรณัชย์ กล่าวด้วยว่า ส่วนการเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยและกลุ่ม นปช.ที่มีการเคลื่อนไหวสอดรับกันในลักษณะที่มีการพูดว่าจะล้มรัฐบาลเพื่อให้อำนาจรัฐกลับไปอยู่ในมือ พรรคประชาธิปัตย์ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายให้โอกาสประเทศชาติและมั่นใจว่าสังคมก็อยากที่จะเห็นประเทศชาติเดินหน้า ล่าสุดแกนนำของพรรคเพื่อไทยทีออกมาระบุว่า แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีข้อวินิจฉัย พ.ร.ก.ไม่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญก็จะยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรีทั้งชุดตามมาตรา 169 ก็อยากเรียนกลับไปว่าการพิจารณาร่าง พ.ร.ก.เป็นการยื่นเป็นครั้งแรกที่ 1 เป็นการนำเอาเงินนอกงบประมาณผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา สองเป็นครั้งแรกที่มีการลงรายละเอียดของการใช้จ่ายตามเอกสารแนบท้าย พ.ร.ก.ซึ่งรัฐบาลของฝ่ายค้านที่เคยเป็นรัฐบาลในอดีตไม่เคยกระทำมาก่อน จะทำในลักษณะของการก่อหนี้ต่างประเทศ ออกเป็น พ.ร.ก.ทั้งหมดไม่ออกเป็น พ.ร.บ.และแจ้งต่อสภาทราบหลังจากดำเนินการเสร็จแล้ว
“ฉะนั้น วิธีการที่จะเล่นไม่เลิก ต่อต้านทุกรูปแบบ ขัดขวางนโยบายการแก้ปัญหาประชาชนทุกวิถีทางนั้น เป็นแนวทางของการเมืองที่ช่วงชิงความได้เปรียบบนความเสียหายของประเทศชาติ” นพ.บุรณัชย์กล่าว และว่า ขณะนี้เศรษฐกิจเหมือนผู้ป่วยที่ต้องการเลือดและออกซิเจน พ.ร.ก. พ.ร.บ.และการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้แผนปฏิบัติการเหมือนการต่อท่อออกซิเจนและเลือด คิดว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมถ้าฝ่ายค้านจะเล่นการเมืองและตัดออกซิเจนและเลือดที่เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทยพาดพิงถึงนายกฯว่าเป็นเพียงแค่โฆษกรัฐบาลเพราะไม่กล้าตัดสินใจ และใช้คำกล่าวว่าทำไมคนกรุงเทพฯถึงโง่เง่า ซื่อบื้อเลือกพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งนี้เป็นการเมืองแบบเก่าใส่ร้ายดูถูกประชาชนและต้องการให้มีการตอบโต้ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่อยากที่จะลดตัวไปตอบโต้ข้อกล่าวหาเช่นนั้น เพราะพรรคเคารพเสียงประชาชนทุกเสียงไม่ว่าจะเลือกพรรคใดในพื้นที่ใดก็ถือเป็นศักดิ์และศรีของการใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น นักการเมืองต่างหากที่ควรจะเป็นแบบอย่างในการให้เกียรติประชาชน เพราะการพูดจาในลักษณะดูถูกประชาชนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด จะทำให้ประชาชนหมดหวังกับกลุ่มการเมืองนั้น