รองนายกฯ ด้านความมั่นคง เลี้ยงอาหารจีน รมต.สาย ปชป.เคลียร์ใจปัญหาภายในพรรค ยันไม่คิดแตกหักกับพรรคร่วมรัฐบาล ใบ้กินโครงการรถเมล์ฉาว 4 พันคัน โยนปัญหาคอร์รัปชันให้นายกฯ จัดการ ยอมรับมีกลุ่มทุนจ้องโค่นเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง โดยไม่กำหนดเวลาในการเคลื่อนไหว ยันบ้านเมืองอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
วันนี้ (31 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.00 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้นัดคณะรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรับประทานอาหารเที่ยงที่ห้องอาหารจีน “หลิว” ภายในโรงแรมคอนราด ถนนวิทยุ โดยมีบรรดารัฐมนตรีของพรรคทยอยเดินทางมาร่วมงานนี้อย่างพร้อมเพรียง รวมจำนวน 15 คน เช่น นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เป็นต้น รวมถึงมีรัฐมนตรีที่ถูกระบุในผลสำรวจมาว่าเป็นรัฐมนตรีที่ประชาชนไม่รู้จัก มาร่วมรับประทานอาหารด้วย เช่น นายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม นายวีระชัย วีระเมธีกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นต้น ทั้งนี้ อาหารจีนในครั้งนี้ถูกจัดเป็นชุดอาหารจีนรวมราคาทั้งหมด 21,000 บาท
โดยนายสุเทพให้สัมภาษณ์ก่อนการรับประทานอาหารดังกล่าวว่า การนัดรัฐมนตรีของพรรคมารับประทานอาหารวันนี้ เนื่องจากตั้งแต่เป็นรัฐบาลมา 5 เดือนตนยังไม่มีโอกาสรับประทานอาหารร่วมกับรัฐมนตรีของพรรคเลย เพราะในช่วงแรกมีภารกิจมาก ซึ่งจะได้ถือโอกาสพุคคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องต่างๆ กับบรรดารัฐมนตรี และตนจะแจ้งให้รัฐมนตรีของพรรคให้ทราบถึงเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศที่ตนรับผิดชอบอยู่ เพราะตนมีความหนักใจในบางเรื่องบางประเด็น ขณะเดียวกันจะรับฟังปัญหาและความหนักใจของรัฐมนตรีทั้งหลายว่าที่ทำงานมา 4-5 เดือนว่ามีอะไรบ้าง ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงการทำงานให้เข้มข้นยิ่งขึ้น รวมถึงให้ทันกับเวลาและสถานการณ์ ทั้งนี้ยืนยันว่ายังไม่มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี ส่วนกรณีที่รัฐมนตรีบางคนติดอันดับในโพลที่ระบุว่าเป็นรัฐมนตรีที่ประชาชนไม่รู้จักนั้น เป็นเรื่องธรรมดา ตนก็เห็นใจรัฐมนตรีบางคน เพราะงานที่เขารับผิดชอบนั้นไม่รู้จะไปประชาสัมพันธ์อย่างไร แต่ตนก็ดีใจที่รัฐมนตรีหลายคนที่อยู่ในลำดับก่อนตน เพราะขนาดตนพบสื่อทุกวัน ผลการประเมินยังสอบได้ที่โหล่อยู่เลย ดังนั้น ตนเข้าใจในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ตนจะบอกกับรัฐมนตรีว่าให้ทำงานเข้มข้นมากขึ้น โดยมีเป้าหมายว่าต้องดูแลประเทศให้ไปรอดให้ได้
“เรื่องที่จะพูดกันวันนี้เป็นเรื่องของรัฐบาล เป็นเรื่องของส่วนรวมว่าทำอย่างไรจึงจะให้ประเทศอยู่รอดได้ และให้ประชาธิปไตยไปในแนวทางที่ถูกต้องและสมควรจะเป็น แต่ไม่ใช่มาคุยเรื่องของผม ส่วนเรื่องของผม ผมแก้ปัญหาเองได้ ความจริงเรื่องของผมมีอะไรที่ลึกลับกว่านั้นอีก แต่ผมไม่ประสงค์จะพูด ผมจะปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์กติกา เชื่อว่าในวันหลังๆสื่อและประชาชนจะทราบเอง” นายสุเทพ กล่าวและว่า ตอนนี้มีคนพยายามทำให้บ้านเมืองแตกแยกรุนแรงมากในทุกวงการ ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนกังวลใจ เมื่อตนเข้ามาทำหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ก็อยากจะทำให้บ้านเมืองมั่นคงจริงๆ อะไรจะเกิดขึ้นกับตนได้ทั้งนั้น ตนไม่สนใจ แต่อยากจะเล่าให้รัฐมนตรีของพรรคได้ตระหนักว่าในการทำงานการเมืองวันนี้ เรื่องใหญ่คือต้องเอาบ้านเมืองให้รอด และต้องมาร่วมกันทำงานจริงๆ อีกทั้งร่วมกันรับผิดชอบและรับรู้ในบางเรื่องที่อาจไม่รู้ ตนก็จะแจ้งให้ทราบ อย่างไรก็ตาม ตนไม่ขอลงรายละเอียด เพราะไม่อยากสร้างความตื่นตกใจ
เมื่อถามว่าเป็นความกังวลเดียวกันกับที่นายกฯแสดงความเป็นห่วงว่าจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่ในเดือน มิ.ย.นี้หรือไม่ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ความเคลื่อนไหวที่จะทำให้บ้านเมืองขาดความมั่นคง ไม่จำกัดเดือนเสียแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ทำกันตลอดทุกวัน โดยพยายามทำให้คนทุกวงการแตกแยก ซึ่งเรื่องนี้ตนเห็นมาด้วยตัวเอง ความจริงถ้าเราสามารถทำให้บ้านเมืองมั่นคงและผ่านไปได้ระยะหนึ่ง ทุกอย่างจะไปได้ ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เมื่อถามต่อว่าคิดว่ายังสามารถควบคุมได้หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ตนทำงานหนักทุกวัน และพยายามจะทำต่อไป
เมื่อถามว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหวใช้วิธีการใด และมีเป้าหมายอะไร นายสุเทพกล่าวว่า กลุ่มคนบางกลุ่มไม่คำนึงถึงความเสียหายของชาติและประชาชนส่วนรวม แต่มุ่งเป้าหมายไปที่การเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง เมื่อถามย้ำว่าเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่เคลื่อนไหวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ตนขอพูดไว้แค่นี้ เพราะต้องระมัดระวังเหมือนกัน
นายสุเทพยังกล่าวถึงข่าวความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทยในเรื่องโครงการขนาดใหญ่ว่า ตนยืนยันว่าจุดยืนของรัฐบาลนี้ ถ้าประชาชนและสื่อมวลชนเห็นว่ามีการทุจริตคอร์รัปชัน หรือทำผิดกฎหมาย ขอให้ส่งมาที่นายกรัฐมนตรีโดยตรง ซึ่งตนรับรองว่านายกรัฐมนตรีจะดำเนินการและจะจัดการทันทีโดยไม่คำนึงว่าเป็นพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่น เพราะเราจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เนื่องจากรู้ดีว่าประชาชนคาดหวังกับนายกรัฐมนตรีมาก แต่ถ้าไปจินตนการเอาเองว่าจะเกิดเรื่องอย่างนั้นอย่างนี้แล้วมาชวนให้เราทะเลาะกัน ก็คงไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเกิดเหตุเพียงนิดเดียว เราจะจัดการ
เมื่อถามว่าโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน จนถึงตอนนี้ยังไม่ถือว่ามีปัญาใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ตนไม่อยากพูดตรงนี้ แต่อยากบอกว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีการนำเงินของรัฐบาลหรือเงินภาษีของประชาชนไปใช้แม้แต่บาทเดียว ทั้งนี้ตนได้ไปเจรจากับพรรคภูมิใจไทยว่าต้องให้รถเมล์จำนวนนี้ผลิตในประเทศเกินครึ่ง ซึ่งในที่สุดเขาก็แก้ไขว่าผลิตในประเทศไทยร้อยละ 70 ส่วนเรื่องราคาก็พูดกันในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง ครม.จะอนุมัติหรือไม่ เป็นเรื่องของ ครม.
ต่อข้อถามว่าให้ความมั่นใจได้หรือไม่ว่าโครงการนี้จะไม่มีการเกี้ยเซี้ยะกันทางการเมือง เพื่อความอยู่รอดของรัฐบาล นายสุเทพกล่าวว่า ให้เอาบ้านเมืองเป็นหลักดีกว่า รัฐบาลจะอยู่หรือไปนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขอให้บ้านเมืองอยู่ได้ก็แล้วกัน
เมื่อถามว่าคิดว่าโครงการนี้จะกลายเป็นจุดแตกหักในการทำงานร่วมกันหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ตนพยายามจะแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ ถ้าแก้ก็แก้ ส่วนถ้าแก้ไม่ได้ จนปัญญา ตนจะมาเรียนกับประชาชนให้ทราบ เมื่อถามต่อว่ายืนยันหรือไม่ว่าจะยอมแตกหักกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน นายสุเทพกล่าวว่า ตนคงไม่ทำอะไรด้วยอารมณ์มันๆอย่างนั้น และจะไม่พูดเรื่องแตกหักกับใคร เพราะเป็นผู้ประสานงาน แต่สิ่งที่ตนจะทำคือทำให้รัฐบาลยืนหยัดอยู่ได้และแก้ปัญหาบ้านเมือง เพราะปัญหาใหญ่คือความมั่นคงของบ้านเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนกังวล แต่ถ้าตนทำไปจนสุดกำลังแล้วทำไม่ได้ ตนก็แจ้งให้ประชาชยได้ทราบ แต่ตอนนี้ยังไม่ถือว่าทำจนสุดกำลัง เพียงแต่ทำอย่างเต็มกำลังและยังไม่สุดความพยายาม โดยจะทำต่อไปเรื่อยๆ เมื่อถามว่าจากสถานการณ์ขณะนี้ มองว่ารัฐบาลจะสามารถทำงานไปได้อีกนานแค่ไหน นายสุเทพกล่าวว่า ตนพยายามทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ ส.ส.กลุ่มของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สวมเสื้อสีน้ำเงินไปต้อนรับนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่ห่วงเรื่องนี้ และการที่ตนทำใจได้และรู้สึกสบายใจ เพราะตนตั้งใจจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และพยายามมองโลกในแง่ดี
นายสุเทพปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีที่พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้ลาออกจากทุกตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้มีการสอบสวนคดีการทุจริตในการเลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุราษฎร์ธานี โดยกล่าวเพียงว่า “ขอให้ติดตามเรื่องนี้ไปสัก 2-3 วัน จะเข้าใจอะไรมากขึ้น ผมไม่ขอพูดอะไรเกี่ยวกับศาล”