xs
xsm
sm
md
lg

“เทพไท” โต้ “นพดล” ว่านายกฯ ตีสองหน้าบอก “นช.แม้ว” กลับสู้คดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เทพไท เสนพงศ์ โฆษกส่วนตัวนายกรัฐมนตรี
“โฆษกส่วนตัวมาร์ค” ปัดตีสองหน้า บอกให้ “ทักษิณ” กลับมาสู้คดี จวกกลับใครโกหกใครกันแน่พูดจาไม่ชัดเจน บอก “เป็ดเหลิม” พูดอย่าง-ทนายหน้าหอพูดอย่าง ไม่น่าเชื่อถือบอก “ทักษิณ” ถือพาสปอร์ตหลายใบหลายประเทศ จวกกลับไปดูนายใหญ่ตัวเอง ซัดแค่พวกลิเกหลงโรง

วันนี้ (25 พ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตีสองหน้า โดยเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาต่อสู้คดีในประเทศไทย ขณะที่ รมว.การต่างประเทศ รมช.พาณิชย์ โฆษกพรรคและโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค ออกมาลดความน่าเชื่อถือของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นความรู้สึกที่จริงใจต่อการเรียกร้องของนายกฯ ที่ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาสู้คดีในเมืองไทย ตนเห็นว่าเป็นหนทางเดียวที่จะพิสูจน์ความเป็นธรรมและพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณในอดีตที่เกิดขึ้น พวกตนไม่เคยมีพฤติกรรมตีสองหน้าตามที่นายนพดลกล่าวหา

นายเทพไทกล่าวต่อว่า สิ่งที่นายนพดลระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้พาสปอร์ตของประเทศมอนเตเนโกรและไม่ได้ถือพาสปอร์ตของประเทศกัมพูชาและเยอรมนีนั้น ตนคิดว่าคำพูดของนายนพดลต้องกลับไปตรวจสอบข้อมูลที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่าข้อมูลของใครถูกต้อง เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยยืนยันและแสดงความเห็นเรื่องพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีแต่ ร.ต.อ.เฉลิม ที่ออกมาพูดว่า วันที่ไปเยี่ยม พ.ต.ท.ทักษิณที่ดูไบ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ชูพาสปอร์ตขึ้น 6-7 เล่ม ซึ่งมีพาสปอร์ตของกัมพูชาและเยอรมนีด้วย โดย ร.ต.อ.เฉลิมยืนยันว่า ไม่ได้มีเฉพาะพาสปอร์ตเฉพาะของประเทศไทยเท่านั้น แต่นายนพดลกลับออกมาปฏิเสธว่าไม่มีพาสปอร์ตของกัมพูชาและเยอรมนี จึงไม่แน่ใจว่าใครโกหกกันแน่ ระหว่างนายนพดล ร.ต.อ.เฉลิม และพ.ต.ท.ทักษิณ

โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อว่า ส่วนที่นายนพดลออกมาระบุเรื่องรัฐบาลฮ่องกงปัดให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยที่จะจับกุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณมาดำเนินคดี โดยกล่าวอ้างว่าทางฮ่องกงได้สอบถามถึงความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งรัฐบาลไทยไม่สามารถตอบยืนยันได้ว่า ผิดอย่างไรนั้น ในรายละเอียดตนไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่ที่ปรากฏชัดเจนคือ ตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยเฉพาะระยะหลังนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยเดินทางไปจีนและฮ่องกงเลย จะเห็นได้ว่าเวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะเลือกพักที่ดูไบเป็นประจำ หากนายนพดลเชื่อมั่นว่า รัฐบาลฮ่องกงไม่ร่วมมือกับรัฐบาลไทยก็ขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณพิสูจน์ว่าทั้งสองประเทศไม่ให้ความร่วมมือ โดยการเดินทางไปพักที่ประเทศจีนและฮ่องกงก็จะรู้เอง เพราะพ.ต.ท.ทักษิณมีความผิดชัดเจนตามกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 100 มีโทษจำคุก 2 ปี โดยรัฐบาลไทยได้ยืนยันกับประเทศต่างๆ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลพิพากษาโทษจำคุก 2 ปีจริง ดังนั้น การที่นายนพดลอ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความผิดที่จะถูกลงโทษนั้น เป็นการกล่าวอ้างเพื่อให้คนหลงเชื่อว่ารัฐบาลหรือกระบวนการยุติธรรมของไทยกลั่นแกล้ง พ.ต.ท.ทักษิณว่าล้มเหลว

นายเทพไทกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นายนพดลอ้างถึงการยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี 4 ข้อ เกี่ยวกับการทวงคืนเขาพระวิหาร ตนอยากเรียนว่าหากนายนพดลมีความต้องการที่จะทำให้เรื่องนี้กระจ่างชัด รัฐบาลก็ยินดีที่จะรับหนังสือดังกล่าว และวันนี้รัฐบาลก็พยายามแก้ไขปัญหาทั้งหมดที่นายนภดล ซึ่งเป็น รมว.ต่างประเทศ ขณะนั้นสร้างปัญหาไว้ อย่างไรก็ตาม คิดว่ารัฐบาลนี้ยืนยันที่จะแก้ไขปัญหากับข้อตกลงที่รัฐบาลยุคนายนพดลทำไว้เพื่อไม่ให้รัฐบาลไทยเสียเปรียบโดยพยายามไม่ให้ประเทศไทยเสียดินแดนแม้แต่นิ้วเดียว

นายเทพไทกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยได้ตั้งฉายาให้รัฐบาลและรัฐมนตรีอีกหลายคนนั้น ว่า อาจเป็นมุกตลกหรือต้องการให้เป็นสีสันในการแถลงข่าว แต่นั่นคือพฤติกรรมของพวกลิเกหลงโรง แต่สิ่งที่ติดใจคือการตั้งฉายาให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าเป็นนายกฯ 2 มาตรฐาน คิดวาพรรคเพื่อไทยต้องชี้ชัดรายละเอียดมาเลยว่าอะไรเป็น 2 มาตรฐานหรือดับเบิลสแตนดาร์ด เกิดขึ้นในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เห็นได้จากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติกรรมหลายอย่าง เช่น 1.การบริหารประเทศ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศชัดเจนเองว่าจังหวัดใดเลือก ส.ส.ไทยรักไทยก็จะพัฒนาจังหวัดนั้นก่อน 2.การโยกย้ายข้าราชการ พ.ต.ท.ทักษิณก็พูดชัดว่า ถ้าเป็นคนของตัวเอง ถ้าไม่เข้าเกณฑ์การโยกย้ายก็จะอ้างระบบฟาสต์แทรกต์มาใช้ แต่ถ้าไม่ใช่คนของตัวเองก็จะอ้างใช้ระบบอาวุโส

3.การเสียภาษีที่จะเรียกเก็บจากชาวบ้านร้านตลาดทุกคน แม้แต่คนขายกล้วยทอดก็เก็บ แต่กรณีของตัวเองที่ขายกิจการโทรคมนาคมเครือชินคอร์เปอเรชั่น ให้กับกลุ่มเทมาเส็กของสิงคโปร์ มูลค่า 7.6 หมื่นล้านบาท แต่กลับไม่เสียภาษีให้รัฐแม้แต่บาทเดียว 4.การบังคับใช้กฏหมายในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเห็นได้ว่าการแก้กฎหมายพิกัดสรรพสามิตเพื่อแก้สัญญาสัมปทาน เพื่อประโยชน์ของตัวเอง การยกเว้นภาษีศุลกากรนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารก็เป็นเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ

นายเทพไทกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่อง 2 มาตรฐานเกี่ยวกับความยุติธรรม ขณะที่บุคคลทั่วไปถูกศาลพิพากษาจำคุกก็ต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษา แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อศาลพิพากษาสั่งจำคุกกลับพยายามดิ้นรนเพื่อแก้กฎหมายให้ตัวเองพ้นคุก ตนคิดว่าทั้งหมดนี้คือดับเบิลสแตนดาร์ด และ 2 มาตรฐานจริงๆ ดังนั้น คนที่ให้ฉายากับนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นสองมาตรฐานก็อยากให้กลับไปดูเจ้านายของตัวเองก่อน ซึ่งตนจำเป็นจะต้องตั้งฉายาให้กับพวกคุณบ้าง แต่ไม่ใช่ฉายาของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะมีฉายามากแล้ว แต่ขอตั้งฉายาให้กับลิเกหลงโรง โฆษกพรรคเพื่อไทยว่า “ไอ้จ๋อจ้อหน้าจอ” หากไม่สุภาพก็ขอเปลี่ยนเป็นเจ้าจ๋อจ้อหน้าจอ สำหรับอีกคนที่เป็นซากเดนสื่อมวลชนที่เข้าไปเป็นทีมงานโฆษกพรรคเพื่อไทย ตนคิดว่าเป็นการเดินรอยตามลูกพี่ ถือเป็นการผสมโรงกับลิเกหลงโรงอีกคนหนึ่ง ดังนั้นตนจะไม่ให้ความสำคัญไม่ตั้งฉายาให้
กำลังโหลดความคิดเห็น