นาทีนี้ให้สรุปแบบไม่ต้องมีอะไรซับซ้อนก็จะเห็นภาพทันทีว่า ความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล้วนมาจากนักการเมือง “เขี้ยวลากดิน” ที่ตกรุ่น ตกสมัย ที่ตลอดชีวิตการเมืองมีแต่แสวงหาลาภยศ อำนาจ และสร้างความร่ำรวยให้กับคัวเองและพวกพ้องเท่านั้น
นับวันก็จะเริ่มเห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าธาตุแท้ตัวตนของนักการเมืองประเภทเขี้ยวลากดิน และเคยหากินอยู่กับการเมืองมานานตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ก็เริ่มทุรนทุรายกับกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่กำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีบทบังคับที่เข้มงวด เปรียบเหมือน “ยาแรง” ทำให้นักการเมืองเหล่านั้น “ทำมาหากิน” ไม่สะดวก
หลายคนก็ถูกลงโทษถูก “กักบริเวณ” ห้ามเข้าสู่สนามการเมืองชั่วคราว แต่คนเหล่านี้ก็ทนไม่ได้ พยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนหาทางลอดช่องกลับเข้ามาอีก
หากจะสังเกตให้ดีความเคลื่อนไหวให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้มาจากการผลักดันของนักการเมืองล้วนๆ และทำเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองล้วนๆ แถมนักการเมืองเหล่านั้นก็ยังเป็นประเภท “ขี้ฉ้อ-เขี้ยวลากดิน” หากินกับงบประมาณ เงินภาษีของชาวบ้านมาตลอด จนบางคนร่ำรวย มีอำนาจคับบ้านคับเมือง
รัฐธรรมนูญไม่ได้มีความผิดอะไรเลยแม้แต่กระผีกเดียว ถ้าผิดก็มีอยู่กรณีเดียวคือดันไปเข้มงวด และมีบทลงโทษรุนแรง ขณะเดียวกันยังมีการส่งเสริมให้ภาคประชาชนได้มีการตรวจสอบทุกฝีก้าว
นักการเมืองพันธุ์โบราณประเภทนี้จึงทนไม่ได้
ถามว่าหากสรุปประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังเริ่มเดินเครื่องกันอย่างคร่ำเคร่งก็วนเวียนกันอยู่ไม่กี่ประเด็น และหากไม่เอ่ยถึงเป็นรายตมาตราให้เวียนหัว ก็จะแยก ให้เห็นภาพ เช่น ให้ยกเลิกความผิดเกี่ยวกับการยุบพรรค ไฟเขียวให้ทำสัญญากับต่างประเทศ สามารถยกอธิปไตยให้กับต่างชาติได้สะดวกโยธิน
นักการเมืองที่ทำความผิดก็จะได้รับการนิรโทษ
อ้างว่านี่คือการสมานฉันท์ ให้ประเทศได้พัฒนาต่อไปได้โดยราบรื่น กล่าวหาว่าปัญหาทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นล้วนมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทั้งสิ้น
ขณะที่ประชาชน ชาวบ้านทั่วไปที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยกลับไม่ได้อะไรไม่มีใครพูดถึง
ถามว่าบรรดานักการเมืองที่ได้ประโยชน์ไปเต็มๆถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จว่ามีใครบ้าง ก็ต้องบอกว่าหนีไม่พ้น พวกอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน เรื่อยมาจนถึงพรรคพลังประชาชน รวมไปถึงอีก 2 พรรคคือ ชาติไทย มัชฌิมาธิปไตย จำนวน 109 คน รวมเบ็ดเสร็จ 220 คน
ซึ่งชาวบ้านที่ติดตามความเคลื่อนไหวอย่างรู้เท่าทัน ก็รับรู้กันไปแล้ว
ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันให้ละเอียดยังพบอีกว่าเริ่มมีความเคลื่อนไหวกันอย่างเป็นขบวนการสอดคล้องต้องกันอย่างเป็น “แพ็กเกจ” เพื่อสร้างแรงกดดันแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จให้ได้
เริ่มจากการส่งสัญญาณสนับสนุนตรงๆจาก บรรหาร ศิลปอาชา อดีตเจ้าของพรรคชาติไทย หรือการ “ดีดตัว” เข้ามาเป็นประธานที่ปรึกษาของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ เสนาะ เทียนทอง ที่ทุกลมหายใจเข้าออกและให้สัมภาษณ์ทุกครั้งก็จะวนเวียนอยู่แต่เรื่องสนับสนุนให้แก้ไขในสองสามประเด็นดังกล่าว
ที่สำคัญขาดไม่ได้ก็คือ ต้องให้มีการนิรโทษกรรมความผิดของนักการเมือง ซึ่งไม่มีอะไรต้องตีความลึกซึ้ง ความหมายก็คือต้องการให้พวกนักการเมืองที่มีความผิดเกี่ยวกับการทุจริตซื้อเสียง โกงเลือกตั้ง แล้วถูกจับได้ ทำให้คนเหล่านี้ได้รับการนิรโทษ ลบล้างความผิด ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้คนที่ได้อานิสงส์ไปด้วยก็คือ นช.ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง
อ้างว่านี่คือการสมานฉันท์ ประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์
นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวจากนอกสภาผสมโรงเข้ามา ทั้งในกลุ่มของ 111+109 คน โดยเฉพาะจากพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนของ นช.ทักษิณ ชินวัตร เริ่มส่งเสียงดังขึ้นผิดสังเกต
มีทั้งการเคลื่อนไหวชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง มีทั้งการจัดแข่งขันกอล์ฟ รวมพลแพ็กกันแน่น
อย่างไรก็ดี หากมองความจริงอีกด้านหนึ่งก็ใช่ว่า ทุกอย่างจะราบรื่น เพราะถ้าพิจารณาลงลึกเข้าไปข้างในแล้วจะพบทันทีว่า เมื่อกลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์ อีกกลุ่มหนึ่งก็ย่อมเสียประโยชน์ ทำให้ต้องออกมาแรงขัดขวางเป็นธรรมดา
ที่เห็นได้ชัดก็คือบรรดารัฐมนตรี รวมไปถึง ส.ส.เกรดสอง เกรดสาม ที่เคยหิ้วกระเป๋าเดินตามนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ทั้ง 220 คน และยังกระจายอยู่ตามพรรคและกระทรวงต่างๆ จู่ๆจะให้ตกสวรรค์ง่ายๆ เป็นใครก็ย่อมไม่แฮปปี้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
นี่ยังไม่นับในเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย ที่หากมองเข้าไปในใจลึกๆระหว่างนักการเมืองประเภท “เขี้ยวลากดิน” สองกลุ่มระหว่างกลุ่ม 111 คนจากพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี จากคดีโกงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกอีกไม่กี่วันจะครบ 2 ปีแล้ว ขณะที่กลุ่มหลัง 109 คน ที่เพิ่งถูกกักบริเวณตั้งแต่ 2 ธ.ค. เพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่เดือน
แต่ถ้าแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จก็จะชุบมือเปิบพร้อมกันไปด้วย มันก็อาจไม่แฟร์หากจะเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มแรกกับกลุ่มหลัง
อย่างไรก็ดี นาทีนี้ให้สรุปแบบไม่ต้องมีอะไรซับซ้อนก็จะเห็นภาพทันทีว่าความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล้วนมาจากนักการเมือง “เขี้ยวลากดิน” ที่ตกรุ่น ตกสมัย ที่ตลอดชีวิตการเมืองมีแต่แสวงหาลาภยศ อำนาจ และสร้างความร่ำรวยให้กับคัวเองและพวกพ้องเท่านั้น
ที่สำคัญเป็นกลุ่มคนที่มักสร้างวิกฤต และสร้างชนวนให้เกิดความรุนแรงให้กับบ้านเมืองมาแทบทุกครั้ง
ดังนั้น สมควรที่จะหยุดทำร้ายประเทศชาติกันได้แล้ว !!
นับวันก็จะเริ่มเห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าธาตุแท้ตัวตนของนักการเมืองประเภทเขี้ยวลากดิน และเคยหากินอยู่กับการเมืองมานานตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ก็เริ่มทุรนทุรายกับกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่กำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีบทบังคับที่เข้มงวด เปรียบเหมือน “ยาแรง” ทำให้นักการเมืองเหล่านั้น “ทำมาหากิน” ไม่สะดวก
หลายคนก็ถูกลงโทษถูก “กักบริเวณ” ห้ามเข้าสู่สนามการเมืองชั่วคราว แต่คนเหล่านี้ก็ทนไม่ได้ พยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนหาทางลอดช่องกลับเข้ามาอีก
หากจะสังเกตให้ดีความเคลื่อนไหวให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้มาจากการผลักดันของนักการเมืองล้วนๆ และทำเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองล้วนๆ แถมนักการเมืองเหล่านั้นก็ยังเป็นประเภท “ขี้ฉ้อ-เขี้ยวลากดิน” หากินกับงบประมาณ เงินภาษีของชาวบ้านมาตลอด จนบางคนร่ำรวย มีอำนาจคับบ้านคับเมือง
รัฐธรรมนูญไม่ได้มีความผิดอะไรเลยแม้แต่กระผีกเดียว ถ้าผิดก็มีอยู่กรณีเดียวคือดันไปเข้มงวด และมีบทลงโทษรุนแรง ขณะเดียวกันยังมีการส่งเสริมให้ภาคประชาชนได้มีการตรวจสอบทุกฝีก้าว
นักการเมืองพันธุ์โบราณประเภทนี้จึงทนไม่ได้
ถามว่าหากสรุปประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังเริ่มเดินเครื่องกันอย่างคร่ำเคร่งก็วนเวียนกันอยู่ไม่กี่ประเด็น และหากไม่เอ่ยถึงเป็นรายตมาตราให้เวียนหัว ก็จะแยก ให้เห็นภาพ เช่น ให้ยกเลิกความผิดเกี่ยวกับการยุบพรรค ไฟเขียวให้ทำสัญญากับต่างประเทศ สามารถยกอธิปไตยให้กับต่างชาติได้สะดวกโยธิน
นักการเมืองที่ทำความผิดก็จะได้รับการนิรโทษ
อ้างว่านี่คือการสมานฉันท์ ให้ประเทศได้พัฒนาต่อไปได้โดยราบรื่น กล่าวหาว่าปัญหาทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นล้วนมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทั้งสิ้น
ขณะที่ประชาชน ชาวบ้านทั่วไปที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยกลับไม่ได้อะไรไม่มีใครพูดถึง
ถามว่าบรรดานักการเมืองที่ได้ประโยชน์ไปเต็มๆถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จว่ามีใครบ้าง ก็ต้องบอกว่าหนีไม่พ้น พวกอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน เรื่อยมาจนถึงพรรคพลังประชาชน รวมไปถึงอีก 2 พรรคคือ ชาติไทย มัชฌิมาธิปไตย จำนวน 109 คน รวมเบ็ดเสร็จ 220 คน
ซึ่งชาวบ้านที่ติดตามความเคลื่อนไหวอย่างรู้เท่าทัน ก็รับรู้กันไปแล้ว
ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันให้ละเอียดยังพบอีกว่าเริ่มมีความเคลื่อนไหวกันอย่างเป็นขบวนการสอดคล้องต้องกันอย่างเป็น “แพ็กเกจ” เพื่อสร้างแรงกดดันแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จให้ได้
เริ่มจากการส่งสัญญาณสนับสนุนตรงๆจาก บรรหาร ศิลปอาชา อดีตเจ้าของพรรคชาติไทย หรือการ “ดีดตัว” เข้ามาเป็นประธานที่ปรึกษาของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ เสนาะ เทียนทอง ที่ทุกลมหายใจเข้าออกและให้สัมภาษณ์ทุกครั้งก็จะวนเวียนอยู่แต่เรื่องสนับสนุนให้แก้ไขในสองสามประเด็นดังกล่าว
ที่สำคัญขาดไม่ได้ก็คือ ต้องให้มีการนิรโทษกรรมความผิดของนักการเมือง ซึ่งไม่มีอะไรต้องตีความลึกซึ้ง ความหมายก็คือต้องการให้พวกนักการเมืองที่มีความผิดเกี่ยวกับการทุจริตซื้อเสียง โกงเลือกตั้ง แล้วถูกจับได้ ทำให้คนเหล่านี้ได้รับการนิรโทษ ลบล้างความผิด ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้คนที่ได้อานิสงส์ไปด้วยก็คือ นช.ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง
อ้างว่านี่คือการสมานฉันท์ ประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์
นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวจากนอกสภาผสมโรงเข้ามา ทั้งในกลุ่มของ 111+109 คน โดยเฉพาะจากพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนของ นช.ทักษิณ ชินวัตร เริ่มส่งเสียงดังขึ้นผิดสังเกต
มีทั้งการเคลื่อนไหวชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง มีทั้งการจัดแข่งขันกอล์ฟ รวมพลแพ็กกันแน่น
อย่างไรก็ดี หากมองความจริงอีกด้านหนึ่งก็ใช่ว่า ทุกอย่างจะราบรื่น เพราะถ้าพิจารณาลงลึกเข้าไปข้างในแล้วจะพบทันทีว่า เมื่อกลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์ อีกกลุ่มหนึ่งก็ย่อมเสียประโยชน์ ทำให้ต้องออกมาแรงขัดขวางเป็นธรรมดา
ที่เห็นได้ชัดก็คือบรรดารัฐมนตรี รวมไปถึง ส.ส.เกรดสอง เกรดสาม ที่เคยหิ้วกระเป๋าเดินตามนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ทั้ง 220 คน และยังกระจายอยู่ตามพรรคและกระทรวงต่างๆ จู่ๆจะให้ตกสวรรค์ง่ายๆ เป็นใครก็ย่อมไม่แฮปปี้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
นี่ยังไม่นับในเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย ที่หากมองเข้าไปในใจลึกๆระหว่างนักการเมืองประเภท “เขี้ยวลากดิน” สองกลุ่มระหว่างกลุ่ม 111 คนจากพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี จากคดีโกงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกอีกไม่กี่วันจะครบ 2 ปีแล้ว ขณะที่กลุ่มหลัง 109 คน ที่เพิ่งถูกกักบริเวณตั้งแต่ 2 ธ.ค. เพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่เดือน
แต่ถ้าแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จก็จะชุบมือเปิบพร้อมกันไปด้วย มันก็อาจไม่แฟร์หากจะเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มแรกกับกลุ่มหลัง
อย่างไรก็ดี นาทีนี้ให้สรุปแบบไม่ต้องมีอะไรซับซ้อนก็จะเห็นภาพทันทีว่าความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล้วนมาจากนักการเมือง “เขี้ยวลากดิน” ที่ตกรุ่น ตกสมัย ที่ตลอดชีวิตการเมืองมีแต่แสวงหาลาภยศ อำนาจ และสร้างความร่ำรวยให้กับคัวเองและพวกพ้องเท่านั้น
ที่สำคัญเป็นกลุ่มคนที่มักสร้างวิกฤต และสร้างชนวนให้เกิดความรุนแรงให้กับบ้านเมืองมาแทบทุกครั้ง
ดังนั้น สมควรที่จะหยุดทำร้ายประเทศชาติกันได้แล้ว !!