ปชป.แนะรัฐประกาศปัญหาการซื้อเสียงเป็นวาระแห่งชาติ “สาธิต” ชี้คง ม.237 จี้กรรมการบริหารพรรคต้องรับผิดชอบเหตุกระทำการไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ต้องยุบพรรค พร้อมตัด ม.239 วรรค 2 ออก โยนคดีการซื้อเสียงให้กกต.ตัดสินจนถึงที่สุด วอนสื่อ-สังคมอย่าให้ความสำคัญพวกแกนนำหางแดง สร้างราคา แหลสร้างเรื่องหวังก่อหวอด
วันนี้ (10 พ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญกำหนดกรอบเวลาการทำงาน 45 วัน ซึ่งไปตามความต้องการของทุกฝ่าย จึงอยากให้มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนมากกว่านี้ พร้อมกับนำข้อเสนอของทุกฝ่ายมากองรวมกันเพื่อหามติเกี่ยวกับประเด็นที่จะพิจารณาด้วย ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าควรจะแก้ไขหรือไม่ หากแก้ไขควรกำหนดวิธีการแก้รัฐธรรมนูญว่าควรมีการตั้ง ส.ส.ร. หรือใช้วิธีตามมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญ โดยทั้งหมดต้องให้ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน
นายสาธิตกล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่ารัฐบาลควรประกาศเรื่องการแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงเป็นวาระแห่งชาติ นอกจากนี้ ส่วนตัวคิดว่าควรคงมาตรา 237 ไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ต้องมาคิดว่าโทษการยุบพรรค ซึ่งเป็นการให้พรรคเป็นผู้รับผิดชอบในการทำผิดของสมาชิกพรรคที่เป็นกรรมการบริหารพรรคจะสมควรหรือไม่ เพราะพรรคมีสมาชิกพรรคทั่วประเทศ พรรคจึงไม่ควรรับผิดชอบในการกระทำความผิดดังกล่าวที่สมาชิกพรรคไม่ได้รับรู้ แต่ผู้รับผิดชอบควรเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค นอกจากนี้ อยากให้ตัด วรรค 2 ของมาตรา 239 ที่โยนคดีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงไปสู่ศาลออก เนื่องจากทิศทางในการพิจารณาคดีของศาลจะชั่งน้ำหนักที่พยานหลักฐาน ซึ่งถือเป็นเรื่องยากในการหาพยานหลักฐานในคดีดังกล่าว ดังนั้นจึงควรให้ กกต.ซึ่งพิจารณาตามความเชื่อ เป็นผู้พิจารณาคดีเป็นหลักจนถึงที่สุด พร้อมกันนี้อยากเสนอให้แก้ไขมาตรา 266 ที่ห้าม ส.ส.เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินด้วย โดยเมื่อกำหนดให้ ส.ส.เป็นรัฐมนตรีได้ ก็ควรให้เป็นเลขา หรือที่ปรึกษารัฐมนตรีได้เช่นกัน
นายสาธิตกล่าวเรียกร้องไปยังสังคมและสื่อมวลชนว่า ไม่ควรให้ความสำคัญต่อแกนนำ นปช.ที่มีพฤติกรรมโกหกหน้าด้านๆ สร้างเรื่อง และก่อให้เกิดความรุนแรง โดยสื่อมวลชนควรใช้มาตรการแซงก์ชันพวกโกหก ไม่ควรเสนอข่าวให้สาธารณชนรับทราบ เพื่อขจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากสังคม และขอเรียกร้องไปยังพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง ให้หันมาร่วมกันต่อต้านการทุจริตในทุกระดับจะดีกว่า