“สุรพงษ์” กระทู้ถามรัฐเพิ่มเพดานเงินกู้ 9.4 หมื่นล้าน ดักคอเตรียมออก พ.ร.ก. เพิ่มเพดานเงินกู้หลังปิดสภา อ้างเลี่ยงถูกสภาตรวจสอบ ยกรูป “มาร์ค” ดูหมอ เย้ยขนาดผู้นำประเทศหวังพึ่งดู ประชาชนจะพึ่งพาใครได้ ขณะที่ “อภิสิทธิ์” ลุกขึ้นชี้แจงยันแก้ปัญหาตามสถานการณ์ ไม่ใช่แก้แค้น ย้อนเป็นงบที่ผ่านตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน มั่นใจไม่มีปัญหา เหตุยังมีสภาพคล่องส่วนเกินหลายแสนล้าน ระบุไม่ออก พ.ร.ก.กู้เงินในสมัยประชุม ย้อนดูหมอสมัยเป็นผู้นำฝ่ายค้าน แค่ตามมารยาท แฉ “สุรพงษ์” สมัยอยู่พรรคก็ชอบทำตัวเป็นหมอดู ทายทักวันตาย “ทักษิณ” เช่นกัน
วันนี้ (30 เม.ย.) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมี นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ตั้งกระทู้ถามเรื่อง การเพิ่มเพดานการกู้ยืมเงินของรัฐบาล ถาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า การที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ 9.4 หมื่นล้าน โดยปีงบประมาณประจำปี 2552 รัฐบาลได้อนุมัติงบทั้งหมดเป็นจำนวน 1.8 ล้านบาท และมีการตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมกลางปีอีก 1.7 แสนล้าน ทั้งที่รัฐบาลได้ประมาณการว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้เพียง 1.5 ล้านล้านบาท ขาดดุล 3.4 แสนล้านบาทซึ่งกรอบการกู้เงินสามารถทำได้ 4.4 แสนบาท เหลือเงินที่กู้ได้คือ 9.4 หมื่นล้าน
นายสุรพงษ์ ยังระบุว่า ล่าสุด รัฐบาลได้ยอมรับว่ามีการเก็บภาษีพลาดเป้า 2 แสนล้านบาท ทำให้รัฐบาลต้องมีการกู้อีก 1.1 แสนล้านบาท มีข่าวว่า รัฐบาลจะออกพระราชกำหนดเพื่อเพิ่มเพดานเงินกู้ดังกล่าว ทั้งที่รัฐบาลสามารถออกเป็นพระราชบัญญัติได้ แต่การที่รัฐบาลต้องการออกพระราชกำหนดเป็นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากรัฐสภาใช่หรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบพบว่าจะมีการดำเนินการในช่วงปิดสมัยประชุม จึงขอตั้งคำถามว่ารัฐบาลจะกู้เงินอีกเป็นแสนล้านทำไม ทั้งที่ความจริงแล้วยังมีงบประมาณของกระทรวงกลาโหมในส่วนกองบัญชาการกองทัพไทยที่เป็นงบประมาณป้องกันประเทศจำนวน 1.7 แสนล้านบาท เนื่องจากขณะนี้ไม่มีความจำเป็นที่กองทัพต้องซื้ออาวุธแล้ว ขอให้รัฐบาลนำงบประมาณของกระทรวงกลาโหมมาใช้แทนงบที่จะกู้ตรงนี้ดีกว่า เพื่อที่ประชาชนจะได้ไม่เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว และขอถามว่ารัฐบาลจะมีวิธีการหาเงินมาใช้หนี้ได้อย่างไร
นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ ยังได้นำภาพที่นายกรัฐมนตรีแบมือ ให้หมอดูตรวจดวงชะตาพร้อมกล่าวว่า ภาพแบบนี้จะทำให้ประชาชนที่หวังพึ่ง หรือคาดหวังต่อตัวนายกรัฐมนตรีให้นำพาบ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างไร เพราะนายกฯเองยังต้องพึงหมอดู
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงว่า งบประมาณปี 2552 ทำมาตั้งแต่เดือน มิ.ย.และได้รับความเห็นชอบประกาศเป็นกฎหมายเมื่อเดือน ต.ค.ซึ่งโครงการทั้งหลายเป็นโครงการที่รัฐบาลชุดที่แล้วดำเนินการกันมาเอง รวมทั้งโครงการของกระทรวงกลาโหมและกองทัพ ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสมน่าจะคัดค้านตั้งแต่มีการเสนอมา เมื่อตนเข้ามาทำงานการใช้งบก็ดูจากปัญหาที่ไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ เช่น การไปสัมมนาต่างประเทศ เรื่องนี้เราก็ขอให้ทุกหน่วยงานทบทวน ตรงไหนที่คิดว่าๆ ไม่จำเป็นก็ให้มีการปรับลดตามสมควร ส่วนเรื่องการจัดเก็บรายได้นั้น ก็ประมาณการณ์ว่าน่าจะต่ำกว่าสภาชุดที่แล้วเสนอมากกว่า 1 แสนล้านแสดงให้เห็นว่า การจัดเก็บรายได้เกิดจากการหดตัวของการส่งออก และนำเข้า ที่มีผลกระทบทั่วโลก เราไม่ได้แก้ปัญหาเหมือนกับต่างประเทศ เราดูแลเรื่องของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย งบที่จัดสรรเพิ่มเติมในภาคการเกษตรต่างๆ แทรกแซงราคา ขยายการรับจำนวนพืชผลการเกษตร และกระตุ้นเศรษฐกิจภาคชนบทคือชุมชนพอเพียง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องการใช้งบประมาณในเรื่องเหล่านี้ รัฐบาลถือว่าจำเป็น จะทำให้รายจ่ายของรัฐบาลเพิ่มขึ้น เหมือนกับทุกประเทศที่กำลังรับมือภาวะเศรษฐกิจโดยเพิ่มรายจ่ายให้กับรัฐบาล เอง ส่วนเงินที่ขาดไป ต้องมาดูในกรอบกฎหมายที่มีกฎหมายหนี้สาธารณะ และกฎหมายวิธีการงบประมาณ เราก็ดำเนินการตามนั้น
ส่วนประเด็นการออกพันธบัตร 94,000 ล้านบาท ซึ่งมีความเป็นห่วงว่าจะไปกระทบกับระบบธนาคารนั้น ยืนยันว่า จะไม่กระทบ เพราะมีสภาพคล่องส่วนเกินในระบบหลายแสนล้านบาท จึงไม่มี ปัญหาอะไร ในแง่ของมาตรการอื่นที่ประกันสังคมตัดสินใจลดการส่งเงิน เพราะประเมินแล้วว่าถ้าไม่ลดภาระ ก็อาจจะนำไปสู่การเลิกจ้างเพิ่มเติม
“การกู้เงิน ก็จะดูความจำเป็น รัฐบาลไม่ประสงค์เลี่ยงกระบวนการสภา คาดว่าวันที่ 6 พ.ค.จะสรุปการใช้เงินปี 52 และต่อเนื่องอีก 2 ปีว่าใช้จ่ายอยู่แล้ว รวมทั้งการลงทุน อนาคตทั้งถนน แหล่งน้ำ การลงทุนและเตรียมความพร้อมของเศรษฐกิจไทยในอนาคตด้วย จะดูตามรัฐธรรมนูญว่าตรงไหนควรออกเป็น พ.ร.ก.หรือ พ.ร.บ.และยืนยันว่า จะไม่รอให้ปิดสมัยประชุม เพราะรัฐบาล จะไม่หลีกเลี่ยงการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมา พ.ร.ก.ที่ให้อำนาจกระทรวงการคลังในการกู้เงินในอดีตจะออกเป็น พ.ร.ก.ทั้งหมด และได้ย้ำไปทางกฤษฎีกาว่าขอให้เป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญตามความจำ เป็น ครั้งสุดท้ายที่ออก พ.ร.ก.ให้กระทรวงการคลังไปกู้เงิน ก็ออกในปี 2545” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้ชี้แจง ตนแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ ไม่คิดแก้แค้น โครงการทุกโครงการหากไม่เป็นประโยชน์ ก็ขอให้ปรับลดได้ แต่ย้ายงบประมาณข้ามกรมไม่ได้ ส่วนการกู้เงินมี 2 อย่างคือ กู้มาแก้ปัญหาในการจัดเก็บรายได้ งบก็ต้องเข้าสู่การพิจารณาตามกรอบปกติ แต่การกู้เงินลงทุนข้างหน้าในอีก 3 ปี ที่เราเห็นว่าจำเป็น การกู้เงินในแต่ละวัตถุประสงค์ก็จะเขียนชัดเจน และกฎหมาย อาจจะมีความแตกต่างกัน เราอยากให้โปร่งใสและเป็นไปตามกฎหมายทั้งหมด ขอให้ความมั่นใจได้ว่า แม้มีการกู้เงินก็จะดูแลให้อยู่กรอบของวินัยการเงิน การคลัง ให้เป็นไปตามมาตรฐานการเงินจะไม่ละเมิดมาตรฐานสากลที่นานาชาติยอมรับได้
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังได้ชี้แจงด้วยว่า ส่วนเรื่องหมอดูนั้น เป็นในช่วงที่ตนเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ได้รับเชิญจากสมาคมโหราศาสตร์ เมื่อเดินทางไปในงาน เขาก็ขอดูลายมือ ตนก็ต้องยื่นมือให้ด้วยมารยาท แต่ความจริงสมัยที่ นายสุรพงษ์ เคยอยู่พรรคเดียวกับตน ก็พยายามทำตัวเป็นหมอดูมาตลอด และเคยทำนายว่า วันนั้นวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะตาย ขณะที่ นายสุรพงษ์ ได้ลุกขึ้นแต่ไม่ได้ตอบโต้ใดๆ แต่ได้ย้ำว่า ตนได้ไปดูหมอ เขาบอกว่า นายอภิสิทธิ์ จะอยู่ได้ไม่เกิน 2 เดือน