“เรืองไกร” ยื่นอัยการสูงสุดสอบเก้าอี้ ปธ.สภาฯ มิได้มาโดยตามวิถีทาง รธน. นำหลักฐานคำแถลง “เนวิน” เปิดใจในวันหลั่งน้ำตาโต้ข้อหาเนรคุณแม้ว ยกเหตุผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองอยู่เบื้องหลังพรรคนอมินี
วันนี้ (9 เม.ย.) ที่รัฐสภา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา เปิดเผยว่า ได้ยื่นเรื่องถึงอัยการสูงสุดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสอง พร้อมด้วยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 10/2551 และคำแถลงของนายเนวิน ชิดชอบ เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการได้มาซึ่งตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ของนายชัย ชิดชอบ อาจมิได้เป็นไปตามวิถีทางวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
“จากการที่นายเนวินออกมาแถลงเปิดใจเมื่อวันที่ 7 เมษายน มีคำกล่าวเกี่ยวกับการได้มาซึ่งตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรของนายชัย ที่ทำให้เข้าใจได้ว่าการได้มาซึ่งตำแหน่งดังกล่าวมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยนายเนวินพูดไว้ตอนหนึ่งว่า “กรณีที่บอกว่าผมได้อะไรมากมายจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เช่นกรณีตำแหน่งประธานสภา ต้องเรียนว่าเป็นมติของพรรคพลังประชาชน หลังจากที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภา พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งเป็นมติเดียวที่ให้นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และนายกฯ ทักษิณให้คุณพ่อของผมเป็นประธานสภาฯ แทนนายยงยุทธ เพราะอดีตนายกฯ ทักษิณไม่ไว้ใจ ส.ส.คนอื่นในพรรคพลังประชาชน” คำแถลงดังกล่าวทำให้เห็นว่ามีการกำหนดตัวนายชัย ให้มาเป็นประธานสภาแทนนายยงยุทธ ภายใต้ความเห็นชอบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง แล้วจึงนำไปให้พรรคพลังประชาชนลงมติตามความเห็นชอบของอดีตนายกฯ ทักษิณ อีกทอดหนึ่ง สะท้อนถึงการได้มาซึ่งอำนาจฝ่ายนิติบัญัติไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ” นายเรืองไกร กล่าว
นายเรืองไกรกล่าวอีกว่า การทำหน้าที่ของนายชัยในฐานะประธานสภาฯ ยังมิได้วางตัวเป็นกลางตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 125 วรรคสอง เนื่องจากนายเนวินได้แถลงช่วงหนึ่งว่า “ทั้งที่นายกฯ ทักษิณ ยังโทรศัพท์ถึงผมให้บอกคุณพ่อว่าให้ทำทุกวิธีทางเพื่อให้ท่านสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้” ทำให้เชื่อได้ต่อว่า ส.ส.บางส่วนยังอยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ จากบุคคลอื่น โดยเฉพาะบุคคลที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 122 ที่บัญญัติว่า ส.ส. และ ส.ว.เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยโดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือความครอบงำใดๆ จึงขอให้อัยการสูงสุดดำเนินการตรวจสอบต่อไป
