การพลิกกลับมาเน้นอธิบายในเรื่องความจงรักภักดีมากเป็นพิเศษ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะรู้ดีว่าเป็น “จุดอ่อน” หลังจากสังคมเริ่มรู้ทันมากขึ้น จึงต้องแก้เกมกลบเกลื่อน ไม่ให้พลาดพลั้งมากไปกว่านี้
หากใครได้ฟังการ “ปลุกระดม” ของ หัวหน้าม็อบเสื้อแดง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อค่ำวันที่ 30 มีนาคม จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเป้าหมายการโจมตีอย่างชัดเจน จากเดิมพุ่งเป้าไปที่บุคคลสำคัญในบ้านเมือง ไล่เรียงไปตั้งแต่ ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้นำตุลาการ ผู้นำกองทัพ แต่ล่าสุดได้หันเหหัวเรือมาเน้นโฟกัสโจมตีเฉพาะรัฐบาล เป็นหลัก
ขณะเดียวกัน ถ้าสังเกตให้ละเอียดเข้าไปอีกนิดก็จะเห็นท่าทีใหม่มาเน้นย้ำในเรื่อง ความจงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูง เป็นพิเศษ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดงานเฉลิมพระเกียรติต่างๆใน อดีต แต่ก็ไม่วายยังออกมาในโทนลำเลิกบุญคุณในลักษณะที่ว่าถ้าไม่ใช่ฝีมือตัวเองผลงานจะไม่ออกมาอลังการอะไรแบบนี้แหละ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ คำพูดล่าสุดของ นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร ผ่านวีดิโอลิงก์สะท้อนให้เห็นว่ามีเจตนามุ่งมาที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกองทัพ เช่น ข่มขู่ว่า หากทหารยิงประชาชนเมื่อไหร่จะเป็นผู้นำประชาชนออกมาสู้เอง
หรือโจมตีให้ร้าย กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ท้าทายให้ยึดหนังสือเดินทางที่เหลืออยู่ หรือฉกฉวยโอกาสในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังวิกฤตทั่วโลกมาซ้ำเติมรัฐบาลโดยแค่เรียกร้องให้ทวงคืนความสุขกลับคืนมา อ้างว่าในยุครัฐบาลลตัวเองเศรษฐกิจดี จับจ่ายใช้คล่อง
หลายฝ่ายจึงประเมินว่าสาเหตุที่ต้องพลิกกลับกะทันหันลดโทนโจมตีเปะปะสร้างศัตรูมั่วไปหมด เพราะคงรับรู้ความจริงว่าไม่เป็นผลดี โดยเฉพาะในช่วงการต่อสู้ที่ต้องหวังผลเฉพาะหน้า หวังชัยชนะล้มรัฐบาลในเร็ววัน
เห็นได้ชัดก็คือผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจากเอแบคโพลออกมาว่า เกือบ 75 เปอร์เซ็นต์ไม่เห็นด้วยกับการจาบจ้างให้ร้าย “ป๋าเปรม” ถือเป็นปฏิกิริยาที่เห็นภาพชัดที่สุด สะท้อนกลับได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้การพลิกกลับมาเน้นอธิบายในเรื่องความจงรักภักดีมากเป็นพิเศษ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะรู้ดีว่าเป็น “จุดอ่อน” หลังจากสังคมเริ่มรู้ทันมากขึ้น จึงต้องแก้เกมกลบเกลื่อน ไม่ให้พลาดพลั้งมากไปกว่านี้
ที่สำคัญในกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ล้วนเป็นระดับ “รากหญ้า” ย่อมอ่อนไหวในเรื่องสถาบันเบื้องสูง แม้จะรักแม้ว แต่เมื่อถูกกล่าวหา ถูกเปิดโปงในเรื่องความไม่จงรักภักดีบ่อยครั้ง ซ้ำไปซ้ำมา มันก็ต้องหยุดคิดได้เหมือนกัน
แม้การกล่าวอ้าง หรือคำพูดคำจาจะออกมาแบบไหนก็ได้ เพื่อให้คนเชื่อถือ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ ยังมีแกนนำคนเสื้อแดง คนสำคัญหลายคนต่างถูกออกหมายจับ ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาแล้วทั้งสิ้น และที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่เคยปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนพวกนี้
หากจำชื่อไม่ได้ ลองมาทบทวนรายชื่อดูกันก็ได้ว่ามีใครบ้าง เริ่มตั้งแต่ ดา ตอร์ปิโด บุญยืน ประเสริฐยิ่ง ชูชีพ ชีวสุทธิ์ สุชาติ นาคบางไทร จักรภพ เพ็ญแข วีระ มุกสิกพงศ์ ซึ่งคนหลังสุดเคยถูกจำคุกมาแล้วครั้งหนึ่ง
ล่าสุดกำลังถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกันอีกครั้ง และยังเคยเข้าร่วมก่อการรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2520 แต่ล้มเหลวกลายเป็นกบฏ และถูกจำคุก ซึ่งปัจจุบันกลับมาอ้างตัวว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการที่สวมเสื้อแดงอีกบางคนที่เห็นได้ชัดก็คือ ใจ อึ้งภากรณ์ ปัจจุบันก็ได้หลบหนีหมายจับไปอยู่ที่อังกฤษ
อย่างไรก็ดีหากจะมีเสียงโต้แย้งว่ามีการให้ร้ายป้ายสี ก็ต้องย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของบุคคลดังกล่าวก็มีหลักฐานชัดเจนต่างกรรมต่างวาระ มีทั้งภาพและเสียงปรากฏต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันหากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงนอกจากมีแกนนำมักพูดจาจาบจ้วงให้ร้ายสถาบันเบื้องสูงแล้ว ยังมีทั้งข้อความและภาพปรากฏในเชิงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างชัดเจน
ล่าสุดในที่ชุมนุมหน้าทำเนียบฯมีการพ่นข้อความด้วยคำหยาบคายย่ำยี “น้องโบว์” น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ที่เสียชีวิตจากระเบิดแก๊สน้ำตาของตำรวจ และมี เจตนาส่อไปในทางหมิ่นสถาบันเบื้องสูง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวถือว่ามีการเชื่อมโยงถึงกันหมด ว่าคนเสื้อแดงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นพวกเดียวกัน เพราะเมื่อแกนนำหลายคนถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็ไม่เคยออกมาชี้แจงหรือออกมาปฏิเสธสักครั้งเดียว
ดังนั้น การเปลี่ยนท่าทีกะทันหันแบบนี้ มาเน้นแก้ตัวเรื่องความจงรักภักดี ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตัวเองเดินเกมพลาด เปิดเกมอาละวาดทั่วไปหมดคงไม่เป็นผลดี โดยเฉพาะกับเป้าหมายเฉพาะหน้าที่จะต้องโค่นรัฐบาลให้ล้มลงไปก่อน จากนั้นเรื่องอื่นค่อยมาไล่เช็กบิลภายหลัง !!