"สุรพงษ์" น้ำลายแตกฟอง สับ“อภิสิทธิ์-กรณ์” ลอกประชานิยม "พ่อแม้ว" ผิดทาง เสมือนเด็กอวดรู้ ชี้เตรียมเสนอแก้พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ แก้เพดานเงินกู้ แฉทุจริตโครงการต้นกล้าวิชาชีพ พร้อมจับตาขบวนการทำเช็คปลอมช่วยต่างชาติ เอื้อ แบงค์กรุงเทพฯ ด้าน “ประเกียรติ”จวกรัฐบาลไม่มีแผนกระตุ้นศก.เตือนตปท.ลดเครดิตปท.กลายเป็นขยะไม่มีความเชื่อมั่นในการกู้ ขณะที่“วรวัจน์” ชี้รมว.คลังแทรกแซงแต่งตั้งประธานบอดร์แบงก์ชาติขัดรธน. วอนปชช.กดดันส.ส.พรรคร่วมฯโหวตไม่ไว้วางใจรัฐบาล-เปลี่ยนขั้ว เจอ "คุณหญิงกัลยา" สวดกลับ นามสกุลโสภณพนิช มันหนักหัวใคร
วันนี้(20 มี.ค.) การประชุมสภาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในช่วงบ่าย ในประเด็นเศรษฐกิจ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปราย ไม่ไว้วางใจ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.รคลัง โดยได้กล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯและนายกรณ์ ว่า 1.บริหารงานผิดพลาด ประมาทเลินเล่อ จนทำให้ประเทศถังแตก 2.บริหารงานแบบหน้ามืด ตามัว สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนเพื่อผลประโยชน์พวกพ้องและพรรคพวกเดียวกัน 3.บริหารงานสร้างหนี้ เอาประเทศไทยไปจำนำจนประเทศมีหนี้ล้นพ้นตัว 4.บริหารงานแบบไร้ประสิทธิภาพ ปราศจากความรู้ความสามารถทำให้คนไทย 23 ล้านคนและเกษตรกร 24 ล้านคน ต้องตายด้วยความทุกข์ระทม แสนสาหัสเพราะมีหนี้พอกพูน ตนจึงไม่อาจไว้วางใจเด็กหนุ่มทั้ง 2 คนได้เพราะจะนำพาประเทศไปสู่หายนะ ประเทศชาติล่มสลาย ย่อยยับ สิ้นหวัง คนตกงานอดยาก ทะเลาะเบาะแว้งกันต่อไป
นายสุรพงษ์ อภิปรายว่า การที่รัฐบาลบริหารงานไม่เป็นทำให้ต้องกู้เงินเพิ่ม ซึ่งเชื่อว่าอีกไม่นานต้องมีการแก้ไขพ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อขยายวงเงินกู้เพิ่มขึ้นเนื่องจากจัดเก็บรายได้ไม่ตรงตามเป้า เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่กล้าตัดสินใจและมีตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่แม่นยำจึงไม่กล้ากู้เงินให้เต็มเพดานตามพ.ร.บ.ดังกล่าวเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือประชาชน รัฐบาลนี้จะทำให้บ้านเมืองถังแตก เพราะจัดเก็บภาษีไม่ตรงตามเป้า จึงหันเริ่มหันมาเก็บภาษีบาป เช่นภาษีเหล้า ซึ่งกระทบต่อคนจนเพราะเหล้าสามารถเป็นยาได้บางครั้งทำให้คนจนลืมบางอย่างได้และไม่ต้องคิดมาก แต่เมื่อขึ้นราคาท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้จะทำให้คนจนไม่มีเงินซื้อเหล้ากินและหันมากินยาบ้าหรือยาฆ่าแมลงฆ่าตัวตาย ขณะนี้นายกฯตกเป็นเบี้ยล่างของพรรคร่วมรัฐบาลเห็นได้จากการย้ายสนามบินดอนเมืองไปใช้สนามบินสุวรรณภูมิแห่งเดียว ซึ่งจะทำให้เกิดความแออัด และท้ายสุดจะมีการของบ 50,000 ล้านบาทไปขยายสนามบินสุวรรณภูมิไม่ทราบว่านายกฯยอมได้อย่างไร อย่าไปตกเป็นเบี้ยล่างคนเหล่านี้จุดนี้แสดงให้เห็นว่าการเมืองไร้เสถียรภาพ นอกจากนี้ยังมีทีมเศรษฐกิจที่นำโดย 2 หนุ่ม 1 มุมเพราะเรียนจบจากที่เดียวกัน ซึ่งความจริงน่ามีมุมมองได้หลายมุมมากกว่านี้ ตนจึงไม่สามารถไว้วางใจให้นายกรณ์เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อไปได้
ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชศรีมา พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ตนไม่ไว้วางใจนายกรณ์และนายกฯ เนื่องจากทั้ง 2 คนไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบการจัดเก็บเงินคงคลัง ที่กำหนดให้ใช้ธนาคารของรัฐ แต่กลับไปใช้ธนาคารเอกชนอย่างธนาคารกรุงเทพแทน รวมถึงการออกเช็คช่วยชาติ ที่นายกรณ์จัดให้มีการประกวดราคาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ธนาคารกรุงเทพ ที่เป็นของตระกูลโสภณพานิช และมีคุณหญิงกัลยา โสภณพานิช เป็นรมว.วิทยาศาสตร์อยู่ในรัฐบาลนี้ ทั้งนี้ดูจากการเสนอราคาที่ธนาคารกรุงไทยที่เป็นของรัฐเสนอราคาเช็คใบละ 5 บาท ในขณะที่ธนาคารกรุงเทพเสนอ 2 บาท ในขณะที่กรมบัญชีกลางได้ทักท้วงแล้วว่าการจัดทำเช็คนี้มีต้นทุนใบละ 1 บาทเท่านั้น นโยบายนี้จึงเป็นเช็คช่วยพวกไม่ใช่เช็คช่วยชาติ
ส่วนนายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงงบในโครงการต้นกล้าอาชีพวงเงิน 6.9 พันล้านบาท ว่ามีการเตรียมที่จะทุจริต ฉ้อราษฎ์บังหลวงเนื่องจากโครงการดังกล่าวมีการจ้างงบใช้จ่าย โดยมีรายละเอียดการดำเนินการโครงการแต่ละหมวด ใช้จ่ายจำนวนสูงมาก เช่นตั้งงบค่าที่พักกรรมการ 3 พันบาทต่อคืน รวมทั้งโครงการ7.2 แสนบาท ไม่ทราบว่าไปนอนที่ไหน กรรมการฟาดไปคืนละ3 พันแล้วคนตกงานจะอยู่ตรงไหน ยังมีการตั้งงบการจัดนิทรรศการรวมประมาณ 10 ล้านบาท ค่าเปิดตัวโครงการอีกสิบกว่าล้านไม่ทราบว่าใครได้ประโยชน์ และมีงบค่าคอลเซ็นเตอร์111 จำนวน 40 ล้านบาท ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ 61 ล้านบาท โครงการนี้หลักการดีแต่วิธีการซ่อนไปมา ถือว่าอันตราย
นอกจากนี้ยังเปลี่ยนชื่อเช็คโครงการเช็คช่วยชาติ ว่า เช็คช่วยร้านค้าใหญ่ของต่างชาติ เพราะขณะนี้ห้างสรรพสินค้าต่างๆได้จัดแคมเปญลดราคาเพื่อเข้าโครงการนี้ ทำให้เงินหมุนไปต่างชาติ เช่นห้างเทสโก้โลตัสแทนร้านค้าเล็กๆ และตนเกรงว่าจะมีการทำเช็คปลอม เพราะขั้นตอนการรับเงินง่ายต่อการปลอมเช็คมาก ขนาดธนบัตรรายละ1,000บาทยังปลอมก็ได้ จึงขอตั้งข้อกล่าวหาว่า ผู้บริหาร2 คนไม่ระวัง ไม่รอบคอบในการใช้จ่ายงบประมาณเอื้อประโยชน์ให้ต่างชาติ
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า นายกรณ์ได้ทำการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง โดยได้มีการแต่งตั้งม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล บิดาของส.ส.ในพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเป็นประธานบอร์ดแบงค์ชาติ ซึ่งตามมาตรา 266และมาตรา 268 ของรัฐธรรมนูญระบุห้ามไม่ให้เข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายการบรรจุโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการ หรือพนักงานของรัฐ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งปฏิเสธว่าการแต่งตั้งดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้ยังรวมถึงกรณีการแต่งตั้งสามีของอดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นนายตำรวจใหญ่เข้าไปดำรงตำแหน่งด้วย แบบนี้เรียกว่าแทรกแซงหรือไม่ เพราะถือว่าเป็นการขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้รัฐบาลชุดนี้ยังพยายามที่จะแก้ไขพ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะเพื่อขยายเพดานการกู้เงินอีกแบบนี้ตนรับไม่ได้ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม แต่งบประมาณเพิ่มเติมที่ขอมานั้นก็ไม่ได้ลงไปยังกระทรวงที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริง แต่ไปกระจุกอยู่ในกระทรวงของพรรคประชาธิปัตย์ แบบนี้เรียกได้ว่าทำเพื่อพวกพ้องตัวเองหรือไม่ แล้วหากมีการกู้เงินจากต่างประเทศก็ต้องทำอีก ดังนั้นในวันที่ 21 มี.ค.นี้ซึ่งจะมีการลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ก็ขอให้ประชาชนที่ไม่อยากให้รัฐบาลไปกู้เงินสร้างหนี้ไปบอกกับส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทยให้เปลี่ยนใจไม่หนุนพรรคประชาธิปัตย์
ด้านนายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า จะเห็นว่ารัฐบาลนี้ไม่มีแผนและนโยบายชัดเจนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ต่างประเทศจัดเรทติ้งไทยต่ำลง ซึ่งอาจจะเหลือสองบีก็ได้ ซึ่งก็เท่ากับว่าประเทศไทยมีทรัพย์สินเท่ากับขยะ หากเอาไปค้ำประกันเงินกู้ เราก็ต้องกู้ในดอกเบี้ยที่สูง และต้องเสียดอกเบี้ยมากยิ่งขึ้น ซึ่งการที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศมั่นคงขึ้นและสามารถขับเคลื่อนไปได้ มีอยู่ 2 ตัวคือ 1.ธนาคาร และ 2.ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์และตลาดสารหนี้ ซึ่งขณะนี้ธนาคารไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจขนาดใหญ่ได้ เพราะไม่ปล่อยกู้และคนก็ไม่นำเงินไปใช้ ส่วนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์และตลาดสารหนี้นั้นถือว่าเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก แต่ขณะนี้มีปัญหาเพราะความเชื่อถือจากต่างประเทศน้อยลง ซึ่งรัฐบาลควรจะส่งเสริมให้บริษัทต่างๆเข้ามาขายหุ้น แต่ขณะนี้รัฐบาลกำลังไปทำลายและทำให้เกิดปัญหา นอกจากนี้ในตลาดทุนบริษัททีเอสเอฟซี กระทรวงการคลังได้เข้าไปถือหุ้นอยู่ และเมื่อมีการขาดทุน ทางกระทรวงก็ได้พยายามเพิ่มทุน 1,000 ล้านบาท ซึ่งตรงนี้จะกระทบต่อเครดิตของประเทศไทย และอาจจะมีความผิด เหมือนอย่างกรณีบีบีซี ที่รัฐบาลเอาเงินธนาคารออมสินไปอุ้ม ซึ่งสุดท้ายก็ล้มและก็มีการสั่งฟ้องกันเป็นทอดๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้รักษาประโยชน์ของประเทศแต่รักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
ด้านคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ใช้สิทธิ์ชี้แจงว่า ที่มีการกล่าวหาว่าตระกูลโสภณพานิชมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องการออกเช็คเงินสด 2,000 บาทนั้นจริงๆแล้วการที่ตนมีนามสกุลโสภณพานิช เวลาไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องไปขออนุญาตใครไม่ได้เป็นธุระให้ใคร การที่ระบุถึงนานสกุลนี้ก็มีตนที่นามสกุลโสภณพานิช และตนอยากถามว่า มันหนักหัวใคร หากตนจะพูดถึงตระกูลจันทรรวงทอง ตนจะพูดได้บ้างหรือไม่ การที่ผู้อภิปรายพยายามโยงว่าตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับธนาคารกรุงเทพ โดยระบุว่ามีการออกเช็คเพื่อประโยชน์กันขอชี้แจงว่าครอบครัวโสภณพานิชได้ทำธุรกิจการธนาคารมานานและได้ทำประโยชน์ทางการเงินให้กับประเทศชาติมาตลอด ระบบการทำงานก็อยู่ในความควบคุมของตลาดหลักทรัพย์มีกลเกณฑ์วิธีการ และธุรกิจก็ใหญ่โตกว่าผู้อภิปรายที่มีความคับแคบเลื่อนลอยปราศจากหลักฐาน บอกได้อย่างไรว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับตระกูลโสภณพานิช โปรดอย่ากล่าวหาคนอื่นอย่างเลื่อนลอย โดยไม่มีหลักฐาน ตนได้รับงานหรือไม่ไม่เกี่ยวกับนามสกุล
ด้านนายประเสริฐ ได้ตอบโต้ว่าตนไม่เคยพูดให้คุณหญิงกัลยาเสียหายแต่สงสัยว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังดำเนินการเอื้อประโยชน์ให้ธนาคารกรุงเทพหรือไม่ ซึ่งการอภิปรายเป็นเรื่องการกล่าวหา ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องเดือดร้อน สิ่งที่ตนสงสัยคือคนในตระกูลนี้เกี่ยวพันกับแบงก์กรุงเทพไม่ได้หรือ แค่สงสัยทำไมไม่ใช้แบงก์ของรัฐดำเนินการทั้งที่ขัดต่อระเบียบและกฎหมาย