“สนธิ” เอือมศึกอภิปราย “ผู้ทรงถ่อย” พ่นคำหยาบคายเต็มสภา สะท้อนความเน่าเฟะการเมืองเก่า ระบุพฤติกรรม “ลิ่วล้อแม้ว” ฉายภาพลูกน้องเป็นอย่างไรเจ้านายเป็นอย่างนั้น สรุป 99% ไร้สาระ มีแต่มุ่งโจมตีนายกฯ กระทบพันธมิตรฯ ปกป้องนายใหญ่ เชื่อดีเอสไอป้อนข้อมูลเงิน 250 ล้านให้พรรคเพื่อไทย สมน้ำหน้า ปชป.ไม่กล้าย้ายล้างบาง ทั้งที่รู้เป็นคนของ “ทักษิณ” จวก “บิ๊กป๊อก” นักฉวยโอกาส
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ “Good Morning Thailand” ทางเอเอสทีวี ช่วงเวลา 06.00-07.00 น.เมื่อเช้าวันที่ 20 มี.ค.ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีโดยพรรคฝ่ายค้านว่า ในวันเสาร์นี้ถ้ามีโอกาสอยากให้พี่น้องหาโอกาสไปวัดทำบุญรดน้ำมนต์ล้างซวยหลังจากฟังการอภิปรายในช่วงวันที่ 19-20 ซึ่งมีแต่ความหยาบคาย ป่าเถื่อน ซึ่งสะท้อนถึงการเมืองเก่าอย่างชัดเจน และยังสะท้อนว่า ลูกเสือลูกจระเข้ก็ยังเป็นลูกเสือลูกจระเข้ นายเลวบัดซบอย่างไร ลูกน้องก็เลวบัดซบอย่างนั้น จึงน่าเห็นใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ชีวิตนี้คงจะเร่ร่อนต่อไป เพราะลูกน้องนั้น อยู่นอกสภาก็ถ่อย นอกจากลากคนมากระทืบแล้วยังพูดจาหยาบคาย ขณะที่ในสภาก็มีการแจกของลับให้คนอื่นและยังยกนิ้วกลางให้ต่อหน้าสื่อสาธารณะ
นายสนธิกล่าวต่อว่า พฤติกรรมของนักการเมืองเหล่านี้ เป็นบทพิสูจน์ที่ชี้ชัดว่าการกำหนดการศึกษาขั้นต่ำของ ส.ส.ต้องจบปริญญาตรีนั้น ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว บางคนจบถึงดอกเตอร์เมื่อศาลพิพากษาแล้วก็ยังไม่ยอมรับ เพราะฉะนั้นอย่าเอาปริญญามาวัด ต้องเอาความรู้ เอาธรรมะที่แต่ละคนมีในใจดีกว่า
“เมื่อวานนี้ สรุปง่ายๆ พรรคฝ่ายค้านออกมาอภิปรายท่านนายกฯ ท่านรัฐมนตรีกษิตและรัฐบาลนั้น จริงๆ แล้วเป็นการเอาเรื่องราวที่ไร้สาระมาพูด 99 เปอร์เซ็นต์ มี 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีสาระ และขอชมท่านนายกฯ ว่าควบคุมอารมณ์ได้ดี และชี้แจงปัญหาได้หมด
“น่าเสียดายที่ ร.ต.อ.เฉลิมเริ่มอภิปรายด้วยข้อมูล ดูทีท่าจะไปได้ดี แต่สักพักตัวตนที่แท้จริงก็ออกมา ท้าตีต่อย เป็นอันธพาล พูดจากวกวนสับสนไปหมด นัยที่พูดก็ไม่มี คนก็ไม่เข้าใจ “
นายสนธิกล่าวต่อว่า หลังจาก ร.ต.อ.เฉลิม อภิปรายจบ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ลูกสาวของนายสมชายและนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ได้ตะโกนขึ้นมา “อาเหลิมสุดยอด” ซึ่ง น.ส.ชินณิชานั้นยังเป็นเด็ก แต่เกิดมามีทรัพย์สินเป็นพันล้าน เหมือนนายสมชายก่อนปี 2544 เป็นชนชั้นกลางธรรมดาคนหนึ่ง มีหนี้สินมากมาย แต่ตอนนี้ร่ำรวย น.ส.ชินณิชาเองก็ถูกแจ้งความว่าร่ำรวยผิดปกติ เพราะเป็นเด็กเพิ่งเรียนจบไม่กี่ปี จู่ๆ ก็เป็นเจ้าของหมู่บ้านชินณิชา ไม่รู้ว่าพ่อแม่เอาเงินมาจากไหน และ ป.ป.ช.ก็ทำงานเรื่องนี้ช้า
“เมื่อวานความถ่อยของคนได้แสดงออกมาหลายรูปแบบ หลายลักษณะ ความถ่อยจะถ่อยบนพื้นฐานโกหกพกลม เหมือนนายประชา ประสพดี ที่โจมตีหลายๆ คน”
นายสนธิกล่าวต่อว่า โดยสรุปแล้วเป็นการอภิปรายนายกฯ และโจมตีพันธมิตรฯ ว่ายึดสนามบิน ซึ่งที่จริงพันธมิตรฯ แค่ไปชุมนุมอยู่ด้านนอก ตอนไปถึง ยังเปิดให้ผู้โดยสายเดินทางเข้าออกได้ ไม่ได้ปิด แต่นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นคนสั่งปิด หลักฐานมี และได้มีการฟ้องต่อศาลแพ่งและศาลอาญา ที่ประชุมบอร์ดก็ยังระบุว่านายสรีรัตน์สั่งปิดโดยไม่ขออนุญาตบอร์ดการท่าอากาศยานฯ เพราะฉะนั้นคนที่ทำให้เกิดความเสียหายคือนายเสรีรัตน์ที่เป็นคู่เขยนายวีระ มุสิกพงศ์ ลิ่วล้อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชาชน แค่นี้ก็ดูไม่ออกหรือ
นายสนธิกล่าวต่อว่า ถ้าฝ่ายค้านจะอภิปรายนายกษิต ต้องถามถึงความคืบหน้าการเลิกพาสปอร์ตธรรมดาของ พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะที่เป็นผู้ร้ายหนีคดี และต้องถามต่อว่า ทำไมไม่ดำเนินการเรื่องส่งผู้ร้ายข้ามแดน รวมถึงต้องถามต่อว่าแถลงการณ์ไทย-กัมพูชา สมัยนายสมัคร สุนทรเวช ได้แก้ไขหรือยัง เพาะศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษาแล้วว่าผิด
“เหตุผลที่เขาควรถามแต่เขาไม่ถาม ก็เพราะท่านกษิตจะทำให้มันถูกต้อง แล้วกระทบต่อเจ้านายเขา เพราะฉะนั้นเมื่อวานการอภิปรายจึงไม่ใช่เพื่อบ้านเมือง แต่เพื่อนายของเขา”
หลังจากนั้นนายสนธิ ได้กล่าวถึง ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยสมัคร ส.ส.เขตที่ราชบุรี แล้วสอบตก จึงไปสมัคร ส.ส.แบบสัดส่วน และอยากให้ชาวราชบุรีจำไว้ว่าต่อไปถ้าลง ส.ส.สัดส่วนพรรคไหนอย่าไปเลือกพรรคนั้น เพราะเป็นคนที่เอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาพูด เช่น เรืองต่างหูภรรยาของนายอภิสิทธิ์ มากล่าวหาว่าไม่ได้แจ้งในบัญชีทรัพย์สิน ทั้งที่แจ้งไว้แล้ว
นอกจากนี้ ร.ต.ท.เชาวริน ยังเอาจดหมายของนายลี โจนส์ ที่ต่อต้านไม่ให้นายอภิสิทธิ์ไปพูดที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมาอ่านแล้วยกย่องเชิดชู ทั้งที่เป็นข้อมูลที่โกหกพกลม และนายลี โจนส์นั้นอายุแค่ 27 ปี ไม่ใช่อาจารย์ แต่เป็ผู้บรรยายที่รับจ้าง ขณะเดียวกัน นายลี โจนส์ ก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญประเทศไทย แต่เชี่ยวชาญเฉพาะอาเซียน
“ข้อความที่เขียนว่า พันธมิตรฯ พกอาวุธไปประท้วงนั้น เป็นข้อความที่โกหกพกลม ด้วยเหตุนี้จึงตกเป็นเครื่องมือของคนที่อยู่อังกฤษที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของคุณอภิสิทธิ์ ดูหน้าตานายลี โจนส์ เหมือนฝรั่งขี้นก ทะลึ่งมาเขียนเรื่องเมืองไทย แล้วนายเชาวรินยังทะลึ่งเชิดชูข้อเขียนของนายลี โจนส์ อีก”
นายสนธิกล่าวต่อว่า เมื่อวานนี้ ร.ต.อ.เฉลิมได้เล่นงานนายอภิสิทธิ์กล่าวหาว่ารับรองงบดุลพรรคประชาธิปัตย์ ที่รับเงินจากทีพีไอที่จ่ายให้เป็นค่าโฆษณาซึ่งนาบยอภิสิทธิ์พูดได้แจ่มชัด ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ขุดมุกเก่าๆ เรื่องหนีทหารมาโจมตี ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็ตอบได้ชัดเจนตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้จะอภิบายอย่างไรเกี่ยวกับเนื้อหาของการเมืองไทย
“ทำไมประชาชนถึงเบื่อการเมือเก่า ก็เพราะมันมี ส.ส.กุ๊ย ถ่อย เหมือนเมื่อวันก่อน มี ส.ส.เชียงรายคนหนึ่ง ที่หลงว่าคนที่ลงคะแนนให้ตัวเอง คือคนของเขา แล้วไปบอกให้ชาวบ้านแยกประเทศ คนพวกนี้ บางคนเป็นผู้รับเหมา บางคนค้าพืชไร่ บางคนค้ายาเสพติด บางคนเป็นเอเยนต์ วันดีคืนดีมาเล่นการเมือง มาได้สัมผัสอำนาจ อยู่พรรครัฐบาลมาหลายปี ก็ลืมตัวไปนึกว่าคัวเองเป็นเจ้าของประเทศไทย พูดตอดว่าประชาชนของผม คนพวกนี้ไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์บ้านเมือง ไม่เข้าใจรากเหง้าของสังคมไทย เพราะฉะนั้นเราต้องหาโอกาสล้างคนพวกนี้ออกไป หมดเวลาแล้วที่จะมายืนอยู่ในรัฐสภา”
**สมน้ำหน้า ปชป.ไม่กล้าย้าย “ดีเอสไอ”
นายสนธิกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องเงิน 263 ล้านบาทนั้น ปรากฏว่าดีเอสไอเป็นคนชงเรื่องนี้ให้ กกต. เพราะฉะนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นพรรคที่แปลกทั้งที่รู้อยู่ว่า คนในดีเอสไอเป็นคนของทักษิณ ทำงาเพื่อนายสมชาย เพื่อนายสมัคร และเป็นปฏิปักษ์กับใครก็ตามที่อยู่ตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทย รู้หมด มีปัญหากับเขาหมด แต่พอตัวเองมีอำนาจ ก็ไม่กล้าย้ายอธิบดีดีเอสไอ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ในเมื่อนายสมัครมีอำนาจวันแรกก็ย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดมยออกไปเลย แล้วเอา พ.ต.อ.ทวี สอดส่องมานั่งแทน แล้วก็สั่งไม่ฟ้องคดีเอสซีแอสเซทที่จะมัด พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว ซึ่งอัยการก็สั่งไม่ฟ้องตาม
“เขาเอาไปเพื่อช่วยกันเอง คุณก็รู้ พอคุณเข้าไปคุณมัวนั่งพับเพียบ บอกทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนตามหลักการ ผมสมน้ำหน้า คุณทำตัวคุณเอง นโยบายรัฐบาล นโยบายรัฐมนตรี ถ้าคุณไม่เห็นดัวยกับแนวทางของรัฐบาลชุดเก่า คุณก็ย้ายออกไปได้ แล้วเอาคนใหม่มาแทน ซึ่งมีเยอะแยะที่พร้อมจะมาเป็น คุณมาบ่นทำไมว่าดีเอสไอส่งผลงานให้ กกต.เพื่อพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์”
นายสนธิกล่าวต่อว่า เมื่อวานนี้ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้พูดชัดเจนว่า ร.ต.อ.เฉลิม นั้นเคยไปเรียกเงินจากนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ให้มาสนับสนุนพรรคตัวเองเป็นเงิน 1 พันล้านบาท เมื่อไม่ได้ ก็ฟาดงวงฟาดงา ซึ่งจะจริงหรือไม่ไม่รู้ แต่รู้ว่านาบประชัยนั้นเป็นนักธุรกิจที่อยากมาเล่นการเมือง จึงไปตั้งพรรคมัชฌิมา ก็เจอนายอิทธิฤทธิ์นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ถึงกับเซ และตอน พ.ต.ท.ทักษิณกลับมามีอำนาจก็ได้ติดต่อกันพยายามพูดคุยกัน และติดต่อนักหนังสือพิมพ์สาย พ.ต.ท.ทักษิณ คือนายเผด็จ ภูริปฏิภาณ ซึ่งนายประชัยในฐานะที่เป็นนักธุรกิจที่เกี่ยวพันการเมืองมานานก็อาจพูดอะไรให้นายเผด็จฟัง
นายสนธิกล่าวต่อว่า เรื่องเงิน 263 ล้านนั้น เป็นข่าวขึ้นมาตอนที่พันธมิตรฯ เริ่มประท้วง ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม ก็โม้ว่ามีนักธุรกิจเอาเงินมาจ่ายให้พรรคประชาธิปัตย์แล้วเอามาให้พันธมิตรฯ ทั้งที่ความจริงแล้ว ถ้าจะพูดถึงความเค็มของพรรคประชาธิปัตย์นั้น เกลือยังแพ้ เลย เพราะฉะนั้นไม่มีที่จะเอาเงินมาให้พันธมิตรฯ แต่ตอนนั้น ทีพีไอเคยลงโฆษณากับเอเอสทีวีเดือนละ 5 ล้านบาท เราไม่ค่อยมีเงิน จึงขอเบิกล่วงหน้า เขาก็เอาเช็กมาให้ทีละ 30 ล้านบ้าง แล้ววันหนึ่งตนบอกให้เลิกรับโฆษณาทีพีไอ เพราะนายประชัยมาลำเลิกบุญคุณ หาว่าเราไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ และหาว่าเราไม่รู้จักบุญคุณข้าวแดงแกงร้อน ซึ่งเราก็ไม่สนใจ และตัดสินใจไม่รับ ถึงจะเดือดร้อน แต่ต้องทำ เพราะศักดิ์ศรี จึงคิดว่าข่าวนี้ที่ถูกนำไปโยง คงมาจากนายประชัย แต่วันนี้มันก็เปิดเผยออกมาว่ามันไม่จริง
**จวก “บิ๊กป๊อก” จอมฉวยโอกาส
ต่อมา นายสนธิกล่าวถึงข่าวที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกบอกว่าเรื่องแผนตากสินนั้น ตนยังไม่ศึกษารายละเอียด จะถูกต้องเพียงไรกำลังศึกษาอยู่ และเมื่อถูกถามว่าความขัดแย้งของคนไทยแคบลงมาหรือยัง ก็บอกว่า ได้ประเมินจากคนเพียงสองกลุ่มที่ขัดแย้งกันแต่ก็ไม่ได้ผลทีเดียวนัก ต้องดูจากคนส่วนใหญ่ที่เป็นพลังเงียบ ซึ่งพลังเงียบในขณะนี้ทุกคนรู้ดีว่า ทุกคนเบื่อหน่ายสถานการณ์ที่ไม่ได้ช่วยกันฝ่าฟันเศรษฐกิจหรือจะทำให้ชีวิตดีขึ้น
นายสนธิกล่าวว่า อยากบอก พล.อ.อนุพงษ์ว่า เราไม่ได้ขัดแย้งกับใคร แต่ถ้าพันธมิตรไม่ออกมา พล.อ.อนุพงษ์ก็ไม่มีวันนี้ คงจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปแล้ว เพื่อยกเลิกความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณให้กลับมาเป็นนายกฯ แล้ว อาจมีการยกเลิกหมวดองคมนตรีไปแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ยอมรับตรงนี้หรือไม่ ถ้ายอมรับ ต้องยอมรับต่อไปว่าพันธมิตรฯ ได้ทำความดีให้ปีระเทศชาติ แต่ พล.อ.อนุพงษ์กลับบอกว่าคน 2 กลุ่มขัดแย้งกัน ซึ่งถ้าพันธมิตรฯ คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ผล พล.อ.อนุพงษ์จะให้มีการเปลี่ยบนขั้วได้อย่างไร
นายสนธิกล่าวต่อว่า หาก พล.อ.อนุพงษ์เชื่อว่ามีพลังเงียบจริง ขอให้ช่วยเอาพลังเงียบออกมาให้ดู ซึ่งที่จริงแล้วไม่มี มีแต่พลังเงียบที่รอจังหวะ เมื่อมีคนล้มหายตายจาก ก็พร้อมที่จะเข้ากับข้างที่ชนะ แล้วเอาประโยชน์เข้าตัวเอง เหตุที่เกิดความขัดแย้งนั้น เพราะนายสมัครที่เป็นนอมินี พยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคพลังประชาชนพ้นจากความผิด แล้วพันธมิตรฯ ไม่ยอม ขณะที่พลังเงียบของพล.อ.อนุพงษ์นั้นไม่ได้แสดงออก เพราะมันไม่มี มีแต่พลังใครชนะแล้วเข้าฝ่ายนั้น ส่วนพลังเงียบจริงๆ นั้น มีแต่พลังเงียบของพันธมิตรฯ ที่เห็นด้วยกับพันธมิตรฯ แต่ไม่กล้าแสดงออก
“มันเกิดความขัดแย้งขึ้นมา เพราะฝ่ายหนึ่งกำลังทำลายกฎหมาย ทำลายกติกา ฝ่ายหนึ่งก็มาขวาง ท่านไม่ต้องการให้ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นใช่หรือไม่ กระบวนการทำลายสถาบัน หมิ่นเบื้องสูงที่มีมา ท่านทำอะไรบ้าง ท่านมีแต่เงียบ ที่ตอนหลังออกมาพูดเพราะเราสู้ให้ อย่างกรณีนางดา ตอร์ปิโด เราพูดให้จนผมถูกกลั่นแกล้งตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ใช่หรือไม่ ถ้าใช่แสดงว่าท่านไม่ทำอะไร ชอบฉกฉวยเอาจังหวะโอกาส เป็นพวกริบบิ้นสีขาว กลางกลวง สมานฉันท์ ไม่เข้าใจหรือว่า สมานฉันท์นั้นต้องอยู่บนความถูกต้องก่อน” นายสนธิกล่าว