นาทีนี้รู้กันอยู่แล้วว่า การเด้ง สุกิจ เจริญรัตนกุล มาจากผลประโยชน์ทางการเมือง เรื่องงบประมาณในหน่วยงานจำนวนมหาศาล และช่วยไม่ได้ที่สังคมจะจับจ้องไปที่ “กลุ่มเนวิน” ว่าสมคบกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฝ่ายความมั่นคงในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย แบ่งสรรอำนาจ
เหตุผลหลักเข้าใจง่ายๆสำหรับการโยกย้าย หรือที่เรียกว่า “เด้ง” สุกิจ เจริญรัตนกุล พ้นจากอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ไปเป็นผู้ตรวจราชการ กระทรวงมหาดไทย ไม่มีอะไรมากไปกว่าเหตุผลตามข้ออ้างในเรื่องของความ “เหมาะสม” เมื่ออำนาจใหม่มา คนของอำนาจเก่าก็ต้องไป
แม้ว่าจะพยายามปรับตัว สนองตอบกันเต็มที่แล้ว แต่ด้วยความหวาดระแวงในปูมหลัง เส้นทางมากันคนละสายก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องถีบให้พ้นทาง
ที่สำคัญตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นที่นั่งทับอยู่นั้นมันมีงบประมาณจำนวนมหาศาล แต่ละปีหลายหมื่นล้านบาท รวมทั้งงบอุดหนุน งบเฉพาะกิจที่ให้กับองค์กรปกครองท้องถิ่นทั่วประเทศอีกนับเป็นหมื่นล้านบาท
แต่ก่อนจะแยกแยะในรายละเอียดของงบประมาณดังกล่าว และความเป็นมาเป็นไปของกลุ่มการเมืองที่อยู่เบื้องหลังการโยกย้ายอัน “ครึกโครม” ในมหาดไทยคราวนี้ ต้องกล่าวถึงแบ็กกราวด์ของ สุกิจ เจริญรัตนกุล ให้รู้เป็นข้อมูลคร่าวๆว่า เป็นสายตรง ระดับ “เด็กในบ้าน” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ พจมาน ดามาพงศ์ เนื่องจากเป็นน้องชายของ นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล อดีต รมว.สาธารณสุข ซึ่งใน “วงการ” รู้กันดี ไม่ต้องสาธยายกันมาก
อย่างไรก็ดีหากว่ากันในเรื่องความรู้ความสามารถ หากอธิบายกันแบบไม่อคติก็ต้องยอมรับว่า คนอย่าง สุกิจ ระดับชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของมหาดไทย โดยเฉพาะในด้านการปกครองท้องถิ่น มีงานวิจัยคุณภาพออกมาหลายเรื่อง
สำหรับเส้นทางความก้าวหน้าทางราชการหลังจาก “บิ๊กจิ๋ว” ดึงออกมาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง โอนมาที่วิทยาลัยการปกครอง จากนั้นก็เจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ ได้เป็นผู้ว่าราชการจังวัดครั้งแรกที่สุโขทัย เมื่อปี 2546
แม้ว่าจะสะดุดบ้างในยุค คมช. แต่หลังจากนั้นเมื่อรัฐบาล “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เรืองอำนาจก็ดึงจากรองปลัดมหาดไทยมานั่งเก้าอี้อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
นั่นเป็นแบ็กกราวด์ที่ไม่ธรรมดา เข้าข่าย “มนุษย์พันธุ์พิเศษ” อีกคนหนึ่ง
แต่แม้ว่าจะเก่งแค่ไหน ฝีมือดีอย่างไร ถ้าไม่ใช่คนของตัวเอง เส้นทางอำนาจคนละสายก็จำเป็นต้องไปอยู่ดี ยิ่งต้องกุมงบประมาณจำนวนมหาศาล มีผลทางการเมืองในวันข้างหน้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง
กล่าวสำหรับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นนอกจากมีความสำคัญในแง่ของการหาเสียงในพื้นที่ต่างจังหวัดแล้ว ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดสรรงบประมาณประจำปี อีกหลายหมื่นล้านบาท
หากสังเกตให้ดีใน “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ส่วนใหญ่จะมีอิทธิพลชี้นำในองค์กรปกครองท้องถิ่นทุกระดับ ไล่ไปตั้งแต่ อบจ. เทศบาล ลงไปจนถึงอบต.เลยทีเดียว
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งในระดับบริหารงานด้านนโยบายก็มีเสียงวิจารณ์มาตลอดว่ามีการส่งคนใกล้ชิดเข้ามาแทรกแซง เท่าที่เห็นภาพก็เกิดกรณีของ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชายของ เนวิน ชิดชอบ ที่ถูกส่งมาเป็นเลขานุการของ ชวรัตน์ ชาญวีระกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
มีเสียงซุบซิบกันในคลองหลอดว่าทำหน้าที่เป็น “รัฐมนตรีมหาดไทยตัวจริง” มีอำนาจคับกระทรวง
นาทีนี้รู้กันอยู่แล้วว่า การเด้ง สุกิจ เจริญรัตนกุล มาจากผลประโยชน์ทางการเมือง เรื่องงบประมาณในหน่วยงานจำนวนมหาศาล และช่วยไม่ได้ที่สังคมจะจับจ้องไปที่ “กลุ่มเนวิน” ว่าสมคบกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฝ่ายความมั่นคงในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย แบ่งสรรอำนาจ
ดังนั้นเมื่อต่างฝ่ายเดิมพันกันด้วยผลประโยชน์ มันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องมีแรงตอบโต้รุนแรงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ สุกิจ ถือว่า มีแบ็กไม่ธรรมดา จึงมั่นใจว่าเรื่องราวคงไม่จบลงง่ายๆแค่นี้แน่นอน !!
เหตุผลหลักเข้าใจง่ายๆสำหรับการโยกย้าย หรือที่เรียกว่า “เด้ง” สุกิจ เจริญรัตนกุล พ้นจากอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ไปเป็นผู้ตรวจราชการ กระทรวงมหาดไทย ไม่มีอะไรมากไปกว่าเหตุผลตามข้ออ้างในเรื่องของความ “เหมาะสม” เมื่ออำนาจใหม่มา คนของอำนาจเก่าก็ต้องไป
แม้ว่าจะพยายามปรับตัว สนองตอบกันเต็มที่แล้ว แต่ด้วยความหวาดระแวงในปูมหลัง เส้นทางมากันคนละสายก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องถีบให้พ้นทาง
ที่สำคัญตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นที่นั่งทับอยู่นั้นมันมีงบประมาณจำนวนมหาศาล แต่ละปีหลายหมื่นล้านบาท รวมทั้งงบอุดหนุน งบเฉพาะกิจที่ให้กับองค์กรปกครองท้องถิ่นทั่วประเทศอีกนับเป็นหมื่นล้านบาท
แต่ก่อนจะแยกแยะในรายละเอียดของงบประมาณดังกล่าว และความเป็นมาเป็นไปของกลุ่มการเมืองที่อยู่เบื้องหลังการโยกย้ายอัน “ครึกโครม” ในมหาดไทยคราวนี้ ต้องกล่าวถึงแบ็กกราวด์ของ สุกิจ เจริญรัตนกุล ให้รู้เป็นข้อมูลคร่าวๆว่า เป็นสายตรง ระดับ “เด็กในบ้าน” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ พจมาน ดามาพงศ์ เนื่องจากเป็นน้องชายของ นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล อดีต รมว.สาธารณสุข ซึ่งใน “วงการ” รู้กันดี ไม่ต้องสาธยายกันมาก
อย่างไรก็ดีหากว่ากันในเรื่องความรู้ความสามารถ หากอธิบายกันแบบไม่อคติก็ต้องยอมรับว่า คนอย่าง สุกิจ ระดับชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของมหาดไทย โดยเฉพาะในด้านการปกครองท้องถิ่น มีงานวิจัยคุณภาพออกมาหลายเรื่อง
สำหรับเส้นทางความก้าวหน้าทางราชการหลังจาก “บิ๊กจิ๋ว” ดึงออกมาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง โอนมาที่วิทยาลัยการปกครอง จากนั้นก็เจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ ได้เป็นผู้ว่าราชการจังวัดครั้งแรกที่สุโขทัย เมื่อปี 2546
แม้ว่าจะสะดุดบ้างในยุค คมช. แต่หลังจากนั้นเมื่อรัฐบาล “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เรืองอำนาจก็ดึงจากรองปลัดมหาดไทยมานั่งเก้าอี้อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
นั่นเป็นแบ็กกราวด์ที่ไม่ธรรมดา เข้าข่าย “มนุษย์พันธุ์พิเศษ” อีกคนหนึ่ง
แต่แม้ว่าจะเก่งแค่ไหน ฝีมือดีอย่างไร ถ้าไม่ใช่คนของตัวเอง เส้นทางอำนาจคนละสายก็จำเป็นต้องไปอยู่ดี ยิ่งต้องกุมงบประมาณจำนวนมหาศาล มีผลทางการเมืองในวันข้างหน้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง
กล่าวสำหรับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นนอกจากมีความสำคัญในแง่ของการหาเสียงในพื้นที่ต่างจังหวัดแล้ว ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดสรรงบประมาณประจำปี อีกหลายหมื่นล้านบาท
หากสังเกตให้ดีใน “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ส่วนใหญ่จะมีอิทธิพลชี้นำในองค์กรปกครองท้องถิ่นทุกระดับ ไล่ไปตั้งแต่ อบจ. เทศบาล ลงไปจนถึงอบต.เลยทีเดียว
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งในระดับบริหารงานด้านนโยบายก็มีเสียงวิจารณ์มาตลอดว่ามีการส่งคนใกล้ชิดเข้ามาแทรกแซง เท่าที่เห็นภาพก็เกิดกรณีของ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชายของ เนวิน ชิดชอบ ที่ถูกส่งมาเป็นเลขานุการของ ชวรัตน์ ชาญวีระกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
มีเสียงซุบซิบกันในคลองหลอดว่าทำหน้าที่เป็น “รัฐมนตรีมหาดไทยตัวจริง” มีอำนาจคับกระทรวง
นาทีนี้รู้กันอยู่แล้วว่า การเด้ง สุกิจ เจริญรัตนกุล มาจากผลประโยชน์ทางการเมือง เรื่องงบประมาณในหน่วยงานจำนวนมหาศาล และช่วยไม่ได้ที่สังคมจะจับจ้องไปที่ “กลุ่มเนวิน” ว่าสมคบกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฝ่ายความมั่นคงในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย แบ่งสรรอำนาจ
ดังนั้นเมื่อต่างฝ่ายเดิมพันกันด้วยผลประโยชน์ มันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องมีแรงตอบโต้รุนแรงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ สุกิจ ถือว่า มีแบ็กไม่ธรรมดา จึงมั่นใจว่าเรื่องราวคงไม่จบลงง่ายๆแค่นี้แน่นอน !!
