“สนธิ”ฉายภาพการเมืองไทยยุค ปชป.จับมือ“เพื่อนเนวิน” มีคิงเพาเวอร์ช่วยจ่ายเงินเดือน ส.ส. “บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก” คุมกองทัพหนุนหลัง แฉเก็บบทเรียนจาก “แม้ว”ห้ามจาบจ้วงสถาบัน-จัดการพวกเสื้อแดงหมิ่นเบื้องสูง แต่ยังโกงกินได้ปกติ ระบุเป็นหายนะของบ้านเมือง ปล่อยระยะยาวสถาบันหลักของชาติสั่นคลอนแน่ เชื่อภายในสิ้นปี ปชป.ต้องเลือกยืนข้าง พันธมิตรฯ หรืออยู่ข้างคิงเพาเวอร์
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล
ช่วงเวลา 20.30-22.30 น.วันที่ 10 มี.ค.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกรายการพิเศษทางเอเอสทีวี เพื่อชี้ให้เห็นถึงภาพรวมของการเมืองไทยในขณะนี้ ซึ่งเบื้องหน้าที่เห็นคือพรรคประชาธิปัตย์จับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลที่มีนายเนวิน ชิดชอบ เป็นแกนนำอยู่เบื้องหลัง และมีทหารหนุนหลัง ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งการเมืองวันนี้ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เราเห็นดีเห็นชอบเพราะนายอภิสิทธิ์เป็นคนดีมีจริยธรรมคุณธรรมสู. แต่กว่าจะมาถึงได้ในวันนี้ มันมีที่มาที่ไปกว่าที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้มาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
นายสนธิได้กล่าวย้อนที่มาของระบบการเมืองไทยปัจจุบันว่า เดิมนั้นโครงสร้างทางการเมืองไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ข้างบนสุด ถัดลงมาคือกองทัพและกลุ่มอำมาตยาธิปไตย จนเมื่อเรามีการเลือกตั้งแบบตะวันตกก็เปิดให้กลุ่มต่างๆ มีโอกาสเข้าสู่อำนาจมากขึ้นโดยผ่านการเลือกตั้ง กลุ่มพ่อค้า ผู้รับเหมา ผู้มีอิทธิพล แม้กระทั่งนักค้ายาเสพติดก็มีโอกาสที่จะเข้าสู่อำนาจทางการเมือง และมีวิวัฒนาการของการซื้อเสียงเรื่อยมา และกลุ่มนายทุนเริ่มมีอำนาจมากขึ้นจนทับซ้อนกับอำมาตยาธิปไตย แต่ก็ยังไม่กล้าไปยุ่งกับทหารและสถาบันกษัตริย์ นอกจากทำมาหากินร่วมกับกลุ่มอำมาตยาธิปไตยและเข้าไปหาทุนเก่า
จนกระทั่งในยุค พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ประเทศตะวันตกขยายอุตสาหกรรมเข้ามาในเอเชียรวมถึงไทย และมีธุรกิจโทรคมนาคมเข้ามา ทำให้กลุ่มทุนโทรคมนาคมเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งในไทยมี 3 กลุ่ม คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้สัมปทานมือถือคลื่น 900 จากองค์การโทรศัพท์ กลุ่มซีพีที่ได้สัมปทานโทรศัพท์บ้าน และตระกูลเบญจรงคกุลที่ได้สัมปทานคลื่น 800 ของการสื่อสารฯ โดยที่ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเมื่อธุรกิจเติบโตก็ต้องการเล่นการเมือง เพราะเป็นตำรวจและพ่อเคยเป็นนักการเมือง ส่วน 2 กลุ่มหลังนั้นไม่ต้องการเล่นการเมืองแต่สนับสนุนบางพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลัง
พ.ต.ท.ทักษิณเริ่มเข้าสู่การเมืองในพรรคพลังธรรม แต่เริ่มประสบความสำเร็จในการเข้าสู้อำนาจทางการเมืองจริงๆ หลังจากตั้งพรรคไทยรักไทย และชนะเลือกตั้งในปี 2544 ซึ่งประชาชนกำลังเบื่อหน่ายพรรคประชาธิปัตย์ และผิดหวังจากนโยบายการแก้ปัญหาหนี้เสียด้วยการตั้ง ปรส.ให้ต่างชาติเข้ามาซื้อหนี้ไปในราคาถูก แล้วเอามาขายคนไทยในราคาแพง และมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นความหวัง เพราะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ประกอบกับรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ได้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีอย่างมาก เพื่อให้การเมืองมีเสถียรภาพ พ.ต.ท.ทักษิณจึงมีพร้อมหมดทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือหิริโอตตัปปะ และมองการเมืองเป็นการลงทุน จึงต้องการคุมอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ ดึงเอากลุ่มนายเสนาะ เทียนทองเข้ามา ใช้เงินซื้อพรรคความหวังใหม่ไว้ล่วงหน้า แล้วมายุบรวมกันภายหลัง โดยเฉพาะเมื่อหลุดจากคดีซุกหุ้นในปี 2544 แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณใช้เวลาประมาณ 2 ปีเศษ ในการเอาองค์กรอิสระมาไว้ใต้อำนาจของตัวเองได้สำเร็จ ทั้ง ป.ป.ช. กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ
ขณะเดียวกัน การทำงานการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ได้เอาพวกฝ่ายซ้ายเข้ามาช่วยงานด้านมวลชน ซึ่งคนพวกนี้ยังมีแนวคิดที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ และให้ประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐ ตามแนวติดปฏิญญาฟินแลนด์ คือให้มีพรรคการเมืองเดียวปกครองประเทศ ใช้นโยบายประชานิยม และให้สถาบันกษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์
เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณยึดสภาและควบคุมองค์กรอิสระได้อย่างเบ็ดเสร็จ กลุ่มทุนก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจของอำมาตยาธิปไตยอีกต่อไป ส่วนกลุ่มทหารนั้น ก็เอาผลประโยชน์เข้าไปล่อ และดึงเอาเตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกันกับเขาขึ้นมา การเลือกตั้งเทอม 2 ในปี 2548 เขาจึงได้มาถึง 377 เสียง มากเป็นประวัติศาสตร์ เป้ฯครั้งแรกที่พรรคการเมืองพรรคเดียวได้ปกครองประเทศ อุดมการณ์ปฏิญญาฟินแลนด์จึงเริ่มเป็นจริง พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่สนใจประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศทั้งสิ้น ต้องการจะเดินไปข้างหน้า สู่การเป็นสาธารณรัฐ ซึ่งแถลงการณ์สยามแดงของนายใจ อึ๊งภากรณ์ พิสูจน์ว่าสิ่งที่เคยพูดไว้นั้นไม่เกินเลยจากความเป็นจริง
ขณะที่ระบบรัฐสภาใช้ตรวจสอบไม่ได้เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีเสียงน้อยเกินไป จึงเกิดการเมืองนอกสภา และเกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนำไปสู่เหตุการณ์ยึดอำนาจวันที่ 19 ก.ย.49 แต่หลังจากยึดอำนาจแล้ว คมช.และรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่ได้จัดการอะไรกับกลุ่มทุนใหม่ที่มีอำนาจขึ้นมาตลอด 6 ปี และเปิดช่องให้เข้ามาประสานกับทุนเก่าโดยผ่านรัฐบาล ผ่าน คมช.ส่วนพันธมิตรฯ และประชาชนคนชั้นกลางก็ถูกกันอยู่วงนอก และในที่สุด การเมืองก็กลับสู่ระบบเดิม พรรคตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้กลับมาเป็นรัฐบาลปลายปี 2550 ตามที่นายสนธิได้พูดไว้ตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.50 แล้ว
พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งนายสมัคร สุนทรเวช มาเป็นนายกฯ เพื่อลบภาพความไม่จงรักภักดี แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะแม้จะสนับสนุนระบอบทักษิณแต่นายสมัครเอาแต่ทำมาหากินอย่างไรก็ตาม การที่เขารีบย้ายข้าราชการเพื่อเอาคนของระบอบทักษิณเข้ามา และแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ทำให้พันธมิตรฯ ต้องออกมาชุมนุมประท้วง
ขณะที่ขบวนการของของฝ่ายซ้ายเก่าที่ต้องการล้มล้างสถาบันที่เติบโตมาตั้งแต่ปี 2544 ยังคงมีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งผ่านเว็บไซต์ ใบปลิว วิทยุชุมชน และการปราศรัยของคนเสื้อแดง ซึ่งก็สอดคล้องกับกลุ่มทุนสามานย์ที่ต้องการแต่ทำกำไร และให้สถาบันกษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ และสุดท้ายจะนำไปสู่การตั้งสาธารณรัฐ นี่คือเหตุผลที่พันธมิตรฯ ต้องออกมาต่อต้าน จนถูกฆ่าตายไป 10 กว่าคน บาดเจ็บกว่า 700
นายสนธิกล่าวต่อว่า มาถึงยุคปัจจุบัน หลังจากยุบพรรคพลังประชาชน พรรคประชาธิปัตย์จับมือกับกลุ่มนายเนวิน และทหาร เพื่อจัดตั้งรัฐบาล ส่วนพรรคเพื่อไทย ไปเป็นฝ่ายค้าน คนเสื้อแดงและพวกที่ต้องการล้มสถาบันก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ไมได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจาก พ.ต.ท.ทักษิณอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่พันธมิตรฯ ที่มีอุดมการณ์ปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ก็ถูกกันอยู่วงนอกเหมือนเดิม และรัฐบาลกำลังใช้ตำรวจดำเนินคดีกับพันธมิตรฯ เพื่อฟอกความผิดตำรวจในเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ พันธมิตรฯ ยื่นข้อเรียกร้อง 13 ข้อให้พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ยอมรับ กลัวแปดเปื้อน พยายามทิ้งระยะห่าง ขณะที่กลุ่มนายเนวินสร้างกลุ่มเสื้อน้ำเงินขึ้นมา เพื่อต่อต้านทั้งเสื้อแดวงและเสื้อเหลือง
นายสนธิกล่าวว่า นัยของการเมืองตอนนี้ คือนักการเมืองซีกรัฐบาลมีการนั่งคุยกันโดยมองว่า ที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องตำระกำลำบากเพราะไม่จงรักภักดีเท่านั้น เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณแสดงอาการที่มีข้อเคลือบแคลง ตลอดจนกลุ่มเสื้อแดงบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเป็นขบวนการจ้องล้มสถาบัน นี่คือที่มาของการจัดตั้งกลุ่มเสื้อน้ำเงิน และนายเนวินจึงมาจับมือ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประวิตร มาร่วมรัฐบาลกับประชาธิปัตย์ โดยมีกลุ่มคิงเพาเวอร์ ที่สนิทสนมกับนายเนวิน ให้การสนับสนุนทางการเงิน
นายสนธิกล่าวต่อว่า ส.ส.ประชาธิปัตย์บางคนยอมรับว่าได้รับเงินเดือนจากนายวิชัย ศรีรักอักษร เจ้าของคิงเพาเวอร์ เดือนละ 1 แสนบาท เพราะฉะนั้นอาจเรียกได้ว่ารัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลของคิงเพาเวอร์ โดยนักการเมืองพวกนี้มองแค่ว่า ถ้าตัดเรื่องการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงออกไปแล้ว นักการเมืองจะเลวหรือโกงกินอย่างไรก็ได้ ซึ่งแนวคิดแบบนี้ทำให้นายอภิสิทธิ์ กลุ่มใจมาก ขณะที่การต่อสู้ของพันธมิตรฯ นั้น การเทิดทูนสถาบันเบื้องสูงเป็นส่วนหนึ่ง แต่ทั้งหมดคือการสู้เพื่อชาติ ต่อต้านการคอร์รัปชั่น ต่อต้านการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะทำให้สถาบันกษัตริย์อยู่ได้อย่างยั่งยืน
พันธมิตรฯ ต้องการการเมืองใหม่ เพราะไม่ต้องการให้การเมืองกลับสู่ประชาธิปไตย 4 วินาที ที่ประชาชนมีอำนาจแค่ตอนกาบัตร 4 วินาทีเท่านั้น หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของ ส.ส.ที่จะไปยกมือในสภาอย่างไรก็ได้
นายสนธิได้คาดการณ์ว่า ไม่เกินปีนี้ พรรคประชาธิปัตย์ต้องเลือกว่าจะยืนข้างพันธมิตรฯ หรือยังจะวางตัวเป็นกลาง หรือจะยอมอับอายด้วยการยืนข้างฝ่ายคิงเพาวเวอร์ แล้วไปนั่งกำหนดนโยบายที่โรงแรมพูลแมนโดยไม่เห็นหัวประชาชน วันนั้นก็จะเป็นจุดจบของพรรคประชาธิปัตย์
นายสนธิกล่าวต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์ ยังฝันหวานว่า เมื่อมีเลือกตั้งใหม่ จะได้ ส.ส.มาเป็นที่ 1 ซึ่งเป็นฝันเฟื่อง เพราะหากพรรคภูมิใจไทยของนายเนวินได้ ส.ส.ในภาคอีสาน 100 กว่าเสียง บวกกับพื้นที่อื่นๆ อีก รวมแล้วก็จะประมาณ 200 กว่าเสียง ขณะที่ประชาธิปัตย์ได้แค่ 160 ประชาธิปัตย์จะเป็นแค่ตัวประกอบ และอย่าลืมว่า นายเนวินนั้น เหมือนกับนายบรรหาร คือจริงใจต่อผลประโยชน์เท่านั้น หาพรรคเพื่อไทยยื่นผลประโยชน์หรือเงื่อนไขที่ดีกว่าพรรคประชาธิปัตย์ให้ นายเนวินก็พร้อมจะไปร่วมกับพรรคเพื่อไทย
นายสนธิกล่าวว่า สาเหตุที่กลุ่มนายเนวิน ออกมาจากพรรคพลังประชาชนนั้น เพราะต่อรองเก้าอี้ 7 รัฐมนตรี รวมรมว.คมนาคมไม่ได้ จึงออกมาร่วมกับประชาธิปัตย์ และจองตำแหน่ง รมว.คมนาคม เพื่อเอานายศรีศุข จันทรางศุ เข้ามา เคลียร์สัญญาในสนามบินสุวรรณภูมิให้คิงเพาเวอร์ และสร้างสุวรรณภูมอเฟส 2 อีก 7 หมื่นล้าน
“พวกเขาคิดว่าจะโกง จะทุจริตยังไง ขอให้เล่นงานพวกจาบจ้างเบื้องสูง พวกเสื้อแดงเท่านั้น ก็จะไปได้ ประชาธิปัตย์ ก็ฝันเฟื่องว่าคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ก็จะพาพรรคไปรอด แต่เมื่อถึงเวลาคุณอภิสิทธิ์ต้องตัดสินใจว่าจะนอนกับโจรได้แค่ไหน ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งต้องตัดสินใจเดินออกมา ประเทศก็จะอยู่รอด แต่ถ้าคิดถึงผลประโยชน์ ยอมอยู่ต่อไป และเมื่อยุบสภา เลือกตั้งใหม่ พรรคภูมิใจไทยได้ที่ 1 เป็นแกนนำ พล.อ.ประวิตร ก็จะเป็นนายกฯ ก่อนที่จะตามด้วย พล.อ.อนุพงษ์ ที่จะมาเป็นหลังเกษียณ การเมืองก็จะกัดกกร่อนกินประเทศไทยต่อไป ถึงแม้ไม่มีการจาบจ้วง แต่ถ้าการเมืองสกปรก มีการคอร์รัปชั่น สถาบันก็สั่นคลอน เพราะการเมืองไม่ดี”
นายสนธิกล่าวอีกว่า พันธมิตรเสนอการเมืองใหม่ เพราะเชื่อว่าการเมืองใหม่คืออนาคตประเทศ แต่ถ้าคิดว่า แค่ไม่จาบจ้วงก็อยู่ได้ ในที่สุดพวกฝ่ายซ้ายก็จะเติบโต้ขึ้นมา เพราะพวกนี้ก็ต้องการการเมืองใหม่เช่นกัน แต่เป็นการเมืองใหม่ที่ไมมีสถาบัน ซึ่งคนพวกนี้ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่พันธมิตรฯ ไม่ได้รับการสนับสนุนจากใครนอกจากใช้เงินบริจาค เมื่อใดที่ระบบซึ่งประชาธิปัตย์จับมือกับเนวินพังทลายลง วันนั้นก็ไม่มีพันธมิตรฯ แล้ว
นายสนธิกล่าวถึงกรณีที่พันธมิตรฯ เรียกร้องให้เปลี่ยนพนักงานสอบสวนคดี 21 แกนนำว่า ไม่ได้ต้องการให้หยุดดำเนินคดี เพียงแต่ไม่ต้องการให้ตำรวจที่เป็นปฏิปักษ์กับพันธมิตรฯ และถูกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนชี้ว่ามีความผิดในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาฯ มาเป็นพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับพันธมิตรฯ นายสุเทพจึงไม่ควรจะรีบพูดว่าเปลี่ยนพนักงานสอบสวนไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้ อยากให้นายสุเทพได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีประชาชนถูกฆ่าตายกว่า 10 คน ระหว่างการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบรัฐบาลและสนามบินด้วย ซึ่งการที่มีการใช้อาวุธสงครามฆ่าคนตายกลางเมืองโดยที่ไม่สามารถหาคนผิดได้เลย ก็มีเหตุผลพอที่จะปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณแล้ว เว้นแต่ว่าเป็นเงื่อนไขที่ตกลงกับนายเนวินเอาไว้ตอนที่จัดตั้งรัฐบาล แล้วปล่อยให้พันธมิตรฯ ตายอย่างหมา
นายสนธิกล่าวต่อว่า ที่พูดถึงสุเทพ เพราะเชื่อว่านายสุเทพเป็นคนรักบ้านเมือง และมีเหตุผล แต่ช่วยคิดด้วยว่าที่พันธมิตรขอร้อง ไม่ใช่การก้าวก่าย แต่ถามว่าเหมาะสมหรือไม่ที่เอาตำรวจที่เป็นปฏิปักษ์กับพันธมิตรฯ มาสอบสวนเรา มีคนมาบอกว่านายสุเทพให้ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน จัดการกันพันธมิตรฯ เพื่อไม่ให้พันธมิตรฯ เติบโต แต่ก็ไม่เชื่อว่านายสุเทพจะคิดอย่างนี้ ตอนนี้เรายังคิดว่าพันธมิตรฯ ยังยืนข้างประชาธิปัตย์ ไปจนกระทั่งประชาธิปัตย์จะคิดว่าเราไม่ใช่เพื่อนแล้ว วันนั้นเราจะประกาศทิศทางของเราอีกครั้ง
**ติดตามรายละเอียดคำต่อคำ**