xs
xsm
sm
md
lg

จุดเปลี่ยนประเทศไทย การเมืองใหม่สะบัดธง

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง


การประกาศจุดยืนทางการเมืองของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เกาะสมุย สุราษฏร์ธานี เมื่อคืนวันพุธที่ 4มี.ค.ที่ผ่านมา

ทั้ง สนธิ ลิ้มทองกุล-พลตรีจำลอง ศรีเมือง-สมศักดิ์ โกสัยสุข-พิภพ ธงไชย พร้อมใจประกาศจะสร้าง“การเมืองใหม่”ให้เกิดมรรคผล ด้วยการจะตั้งพรรคการเมือง

เป็นพรรคการเมืองพรรคแรกของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน

ถือได้ว่า เป็นสิ่งที่น่าติดตามอย่างยิ่ง และนี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนการเมืองไทยในอนาคตก็เป็นได้

แรงสนับสนุนเรื่องนี้เกิดขึ้นโดยทันที ใช่เพียงแต่ “พลังเสื้อเหลือง” จากประชาชนทั่วประเทศที่ขานรับกับความคิดนี้ แต่หลายภาคส่วนก็เห็นด้วย

อันจะพบว่าเหตุผลหลักของแรงหนุนครั้งนี้ เกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงของการเมืองไทยที่ว่า ปัจจุบันนี้การเมืองไทยไม่ว่าจะผ่านไปหลายสิบปี มีรัฐธรรมนูญมาไม่รู้กี่ฉบับ ผ่านการปฏิวัติมาก็หลายหน ประชาชนเลือดนองแผ่นดินเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและขับไล่รัฐบาลและนักการเมืองโสมมไปหลายต่อหลายรัฐบาล

สุดท้ายสิ่งที่สังคมคนส่วนใหญ่ พบเห็นก็คือ ภายใต้ข้ออ้างการปฏิรูปการเมือง อันสวยหรู แต่ข้อเท็จจริงก็คือ การเมืองไทยยังคงจมปลักอยู่กับวงวนน้ำเน่า-วงจรอุบาทว์ ที่เวียนวนอยู่กับ

การถอนทุน-แสวงหาผลประโยชน์


ให้กับตัวเองและพวกพ้อง จนประเทศชาติแทบฉิบหายวายป่วง ประชาชนแตกแยก อันเกิดจากฝีมือของนักการเมืองในระบบเก่าๆ ที่ไม่เคยคิดอะไรไปไกลเกินกว่า “กำไร-ขาดทุน”

บัดนี้ จึงถือเวลาอันดีที่แกนนำพันธมิตรฯ ประกาศจะตั้งพรรคการเมืองเพื่อทำการเมืองใหม่ในระบบรัฐสภาในช่วงจังหวะที่เหมาะสม ด้วยเหตุที่สังคมไม่เชื่อมั่นว่า แนวทางการเมืองของรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ จะนำพาประเทศไปสู่เป้าหมายที่พันธมิตรฯต้องการได้

เพียงแต่ว่า แนวทางการทำพรรคของพันธมิตรฯ เมื่อประกาศแล้วก็ต้องเดินหน้าอย่างจริงจังเพื่อให้ประชาชนมีความหวังที่จะเห็นการเมืองใหม่ และพรรคการเมืองใหม่ที่เกิดขึ้นบนหลักการ

“ธรรมนูญพรรค”

อันมีหลักยึดสำคัญสามประการคือ 1.ซื่อสัตย์สุจริต 2.เสียสละ และ 3.กล้าหาญ

ธรรมนูญพรรคดังกล่าวจะต้องเกิดขึ้นและนำไปปฏิบัติจริง เพื่อเปิดมิติการเมืองไปสู่วิถีซึ่งประชาชนได้เห็นว่าพรรคการเมืองนี้ จะต้องหลุดพ้นจากเข้าไปกอบโกยแสวงหาผลประโยชน์ของคนในพรรค แต่ต้องเป็นพรรคการเมืองที่ประชาชน สมาชิกพรรคต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางพรรค นโยบายพรรค การดำเนินการทางการเมืองพรรคทุกขั้นตอน

สมาชิกพรรคต้องรับรู้ และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง เช่น การผลักดันกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎร การแต่งตั้งตำแหน่งทางการเมืองหากพรรคได้เข้าร่วมการจัดตั้งรัฐบาล

รวมทั้งการส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งก็ต้องใช้ระบบไพรมารี่โหวต คือให้ประชาชนพื้นที่โหวตเลือกมาว่า ต้องการให้พรรคส่งใครลงเลือกตั้ง อยากได้ใครเป็นผู้แทนในสภาฯ

หลักการทั้งหมดจะทำให้พรรคการเมืองนี้ ตั้งขึ้นโดยสมาชิก-ส.ส.-แกนนำทุกคนมีสิทธิมีเสียง โดยเท่าเทียมกันในฐานะหนึ่งเสียงของความเป็นพรรค หาใช่การให้สิทธิเด็ดขาดของคนไม่กี่คนในพรรคที่จะนำพรรคการเมืองไปทำอะไรก็ได้

เราขอเสนอว่า พรรคการเมืองพรรคนี้ต้องคำนึงถึง”คุณภาพมากกว่าปริมาณ” คือให้ความสำคัญกับคุณภาพของคนในพรรคทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกพรรค หรือ ส.ส.มารวมถึงสาขาพรรค มากกว่าการมุ่งเน้นปริมาณ

เพราะปริมาณที่มีมากไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะทำให้พรรคเข้มแข็ง มั่นคง หรือทำให้การทำกิจกรรมการเมืองทำได้หลายอย่างตามที่ทุกพรรคชอบกล่าวอ้าง แต่อาจะเป็นผลเสียก็ได้ อย่างที่เห็นมาแล้วนักต่อนักที่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ก็มีปัญหาสารพัด ทั้งการทะเลาะเบาะแว้งกันของคนในพรรค เนื่องเพราะพวกนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันด้วย

แนวคิด-อุดมการณ์

แต่อยู่เพราะผลประโยชน์ตอบแทน จึงมิควรที่พรรคของพันธมิตรฯ จะต้องไปสนใจว่าผลการเลือกตั้งจะได้ส.ส.20 คนหรือแค่ 1 คน หรือแม้แต่จะไม่ได้รับเลือกตั้งเลย ตัวอย่างเช่น หากมีส.ส.50 คนแล้วมีแต่พวกไร้อุดมการณ์การเมือง พวกนักการเมืองขายตัวที่พร้อมจะย้ายพรรคได้ทุกเมื่อ เช่นนี้ก็เป็นเรื่องน่าผิดหวังอย่างยิ่ง

แต่ในทางตรงกันข้าม หากมีส.ส.แค่คนเดียว แม้จะเสนอกฎหมายอะไรก็ไม่ได้ จะเป็นหัวหอกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้ ทว่าหาก1 เสียงมีคุณภาพ มีการทำการเมืองที่มุ่งไปที่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ก็เชื่อได้ว่าจะต้องมีคนเข้ามาสนับสนุนแน่นอน เช่น หากมีข้อมูลการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐมนตรีรายใดอย่างชัดเจน ก็เชื่อได้ว่าจะต้องมีส.ส.ฝ่ายค้านจากพรรคการเมืองอื่นต้องสนับสนุนให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้แน่นอน

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาจะเห็นว่านักการเมืองหลายคนนำข้อมูลที่อภิปรายบนเวทีชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปเป็นข้อมูลในการอภิปรายในสภาฯหลายต่อหลายครั้ง เช่นกรณีการอภิปรายเรื่องการ

ขายชาติ-ปราสาทเขาพระวิหาร

กรณีนี้ จะพบว่าข้อมูลลึกๆหลายเรื่องของประชาธิปัตย์ที่อภิปรายตอนนั้นก็ยังเป็นข้อมูลที่พันธมิตรฯนำมาพูดบนเวทีล่วงหน้าหลายเดือน ดังนั้นหากพรรคการเมืองนี้มุ่งไปในแนวทางเน้นคุณภาพเป็นหลัก ย่อมต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนแน่นอน

อีกประการหนึ่งที่สำคัญ ธรรมนูญพรรคจะต้องออกมาเพื่อทำให้พรรคการเมืองของพันธมิตรฯหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ในเรื่อง

ธนกิจการเมือง

ของกลุ่มผลประโยชน์จัดตั้งทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทุนการเมือง กลุ่มนักเลือกตั้ง กลุ่มหัวคะแนนของส.ส.

อย่างไรก็ตาม จากการเปิดเผยของแกนนำในเรื่องหลักการเป็นสมาชิกพรรค ก็พอมองเห็นแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาการถูกครอบงำ หรือถูกบงการของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองได้ โดยหลักการให้สิทธิและหน้าที่แก่สมาชิก คือให้ความเป็นเจ้าของพรรคแก่สมาชิกทุกระดับ แต่สมาชิกจะต้องมีหน้าที่จ่ายเงินบำรุงพรรคเดือนละ 100 บาท

โอกาสความเป็นไปได้ในกลวิธีนี้มีอยู่มาก

เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรฯทั่วประเทศที่มีอยู่จำนวนนับล้านๆคนที่จะเป็นสมาชิกพรรค ก็ได้แสดงน้ำใจและรับภาระให้ความช่วยเหลือในด้านปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเงินสิ่งของ และอาหารมาแล้วจากการต่อสู้ใน “สงครามครั้งสุดท้าย” ที่ยาวนานตลอด193วัน

เป็นความจริงที่ประจักษ์แล้วว่า ในทุกวันของการชุมนุมเหล่าพี่น้องพันธมิตรฯ ได้ช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งอื่น วันหนึ่งๆนับเป็นมูลค่าหลายล้านบาท

เราขอกดตัวเลขให้เห็นกันชัดๆ บนสมมุติฐาน193วัน ของการชุมนุม โดยเปลี่ยนตัวเลขจากวันเป็นเดือน และหากศรัทธาพรรคพันธมิตรเป็นเช่นที่ได้จากการชุมนุม จะได้รับการเกื้อหนุนจากพี่น้องพันธมิตรได้นาน193เดือน เท่ากับ16ปี 1 เดือน

เป็นเวลามากพอ ที่จะทำให้ความฝันการเมืองใหม่เป็นจริงได้แน่


แม้ว่าแนวทางการเมืองใหม่ จะไม่ประสบความสำเร็จในยามนี้ แต่ถ้าไม่มีผู้กล้าสร้างมิติการเมืองใหม่ให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นการจุดประกายความคิด-ความหวังให้กับสังคมแล้ว ผู้ใดเลยจะกล้าก้าวเดินตาม

วันนี้เราขอยืนยันว่า การเมืองใหม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น และชักช้าต่อไปอีกไม่ได้แล้ว หลังสังคมพบเห็นแล้วว่า หากการเมืองไทยยังคงว่ายเวียนอยู่ในระบบการเมืองเก่าๆเช่นนี้ ก็คงยากที่จะทำให้ประเทศไทยปลอดจากการทุจริตคอร์รัปชั่น การแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มนักเลือกตั้ง การใช้อำนาจหน้าที่โดยลุแก่อำนาจ และเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง

เพราะแม้แต่การเกิดขึ้นของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ต้องยอมรับความจริงว่าทำให้ประชาชนบางส่วนเกิดความคลางแคลงใจ และผิดหวัง

แม้ทุกคนจะเชื่อว่า หากเลือกได้อภิสิทธิ์ ก็คงไม่ต้องการให้รัฐบาลของเขากำเนิดขึ้นโดยตัวเองต้องไปกอดเอว-กอดตัวกับเนวิน ชิดชอบ เหมือนเป็นฝาแฝด”อิน-จัน” อย่างที่ปรากฏ

หรือปล่อยให้การตั้งครม.เป็นการแบ่งเค้กของพรรคร่วมรัฐบาลแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอาและเอาคนที่ไม่เหมาะสมกับงานมาเป็นรัฐมนตรีจำนวนมาก อย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้

แต่เมื่อข้อจำกัดมีอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะเสียงสนับสนุนให้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ก็จำเป็นต้องทำทุกอย่าง

สิ่งที่ตามมาก็คือ สังคมได้เห็นแล้วว่า เมื่อแก้วน้ำการตั้งรัฐบาลของประชาธิปัตย์ มีน้ำไม่เต็มแก้ว จึงต้องไปหาน้ำจากที่อื่นมาเติม ซึ่งก็คือเสียงของพรรคการเมืองอื่น แต่ปรากฏว่าน้ำที่ไปเติมมาให้เต็มแก้ว

กลับกลายเป็นน้ำเน่า-น้ำครำทางการเมือง ที่ส่งพวกรัฐมนตรี “นอมินี-ยี้ครองเมือง” มาร่วมรัฐบาลจำนวนมาก

จนปัจจุบันก้าวล่วงเข้ามาเดือนที่สามของการบริหารประเทศ ประชาชนก็เริ่มเห็นแล้วว่า กำลังเข้าสู่มหกรรมรุมทึ้งที่น่าจับตาในหลายกระทรวง หลายกรม หลายรัฐวิสาหกิจ

โดยเฉพาะในรัฐวิสาหกิจหลายแห่งที่มีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ก็เริ่มพบการหาช่องทางเข้าไปกอบโกยกันแล้ว คือการส่งคนของตัวเองที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมกับภารกิจไปนั่งเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ เหมือนกับส่งไปนั่งคอยทำงานและเป็นหูเป็นตา เป็นมือให้ในการพิจารณาเห็นชอบผลักดันและอนุมัติงบประมาณในโครงการต่างๆ ที่เสนอเข้าบอร์ดให้ลงมติเห็นชอบ

ขอย้ำว่า การเมืองใหม่ ถึงเวลาเกิดขึ้นได้แล้ว เพื่อทำลายการเมืองน้ำเน่าให้หมดไปจากแผ่นดิน โดยแกนนำพันธมิตรฯ ต้องถือคบเพลิงนำความหวังนี้มาให้พี่น้องประชาชน

เพราะตอนนี้ต้องยอมรับว่าการที่พันธมิตรฯ ต่อสู้กันอย่างยืนหยัดและประสบความสำเร็จมาแล้วหลายครา ทว่าด้วยข้อจำกัดที่พันธมิตรฯไม่มีกลไกในสภาฯ ทำให้หลายครั้งเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ต้องการแก้ปัญหาก็ไม่สามารถทำได้

เช่นการออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง การเข้าไปตรวจสอบซักถามรัฐมนตรีขี้ฉ้อกลางสภาฯให้ได้อายทั้งแผ่นดิน เพราะพันธมิตรฯ มีข้อมูลที่ดีกว่าฝายค้านหลายสิบเท่า

จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พันธมิตรฯต้องทบทวนว่า จะปล่อยให้การเมืองไทยอยู่ในกำมือของนักการเมืองไม่กี่คน ที่จะเล่นเกมอะไรก็ได้ จะซูเอี๋ยผลประโยชน์อะไรกันก็ไม่มีใครรู้ทันต่อไปอีกไม่ได้

เราจะแกล้งหลับตา ปล่อยให้ประเทศชาติ ล่มสลาย เสียหาย ไปต่อหน้าเพียงเพราะคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องของคนไม่กี่คนอย่างที่ผ่านมากระนั้นหรือ?

พรรคการเมืองของพันธมิตรฯจึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น เพียงแต่จะเป็นการก้าวแบบช้าๆ ทว่าต้องมั่นคง และเป็นพรรคการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง

แล้วประชาชน ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค ก็ต้องเข้ามาขับเคลื่อนทำพรรคการเมืองในอุดมคติพรรคนี้ให้เกิดผลสำเร็จ โดยเชื่อได้ว่า ห้าแกนนำพันธมิตรฯจะคอยเป็นเสาหลักเพื่อทำให้ฝันของการมีการเมืองใหม่เกิดขึ้นจริงในการเมืองไทย

แนวทางการเคลื่อนไหวเพื่อตั้งพรรคการเมือง จึงถือเป็นฉันทามติเงียบๆ เบื้องต้นที่ประกาศออกมา บนอุดมการณ์ ธงการต่อสู้ที่จะยึดถือหลักการปกป้องผลประโยชน์ประเทศชาติ เทิดทูนสถาบันยิ่งชีวิต กำจัดมารแผ่นดินทุกรูปแบบ

แค่เริ่มสะบัดธง คนชั่ว นักการเมืองเลว ข้าราชการฉ้อฉล นักธุรกิจจอมตะกละ ก็หนาวสะท้านแล้ว เมื่อการเมืองใหม่กำลังจะเกิดขึ้น โดยประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของและมีส่วนร่วม
กำลังโหลดความคิดเห็น