จะด้วยผลกรรมตั้งแต่ชาติปางไหนอย่างที่ว่าเอาไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า หากพูดถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วนาทีนี้ทุกแง่มุมมีแต่เรื่องถดถอย จากเคยเป็นฝ่ายรุก กลับถอยกรูดมาเป็นฝ่ายตั้งรับแทบไม่เป็นขบวน
เอาเป็นว่าขนาดเคยออกข่าวว่าจะใช้วิธีอินเตอร์ฯ เรียกเสียโก้หรูว่า “โลกล้อมประเทศ” โจมตีเข้ามาจากภายนอก แต่ทำไปทำมากลายเป็นว่าจะหันกลับมาใช้วิธีแบบ “มวยวัด” ล่าสุดถึงกับต้องใช้วิธี “แอบ” เล่นทีเผลอ ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ตามชุมชนชายขอบทั่วประเทศ
ส่วนแนวรบทั้งในสภา นอกสภาก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย เสียราคาลงไปทุกวัน
ขณะที่อีกมุมหนึ่ง ฟากฝั่งรัฐบาลประชาธิปัตย์นำโดย นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังจากเอาตัวรอดจากการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดอาเซียนมาได้อย่างราบรื่น ทำให้ความเชื่อมั่นกลับมา พลิกจากรับมาเป็นรุก
กุมสภาพได้มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ก็แยกให้เห็นเป็นเรื่องๆ ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อตอบโต้ในทุกวิถีทางเช่นเดียวกัน
เริ่มตั้งแต่เมื่อรัฐบาลสามารถสร้างอารมณ์ให้สังคมได้เห็นดีเห็นงามไปกับการเป็นเจ้าภาพการประชุมอาเซียน จนสร้างภาพลักษณ์ สร้างภาวะผู้นำทั้งภายในและระดับภูมิภาคให้กับนายกรัฐมนตรีได้อีกไม่น้อย
จากนั้นก็เริ่มเดินหน้ารุกคืบกินพื้นที่ลึกเข้าไปในฝ่ายตรงข้ามไปเรื่อยๆ เท่าที่เห็นเป็นรูปเป็นร่างก็คือ มีกำหนดการให้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระจายลงพื้นที่ทั่วประเทศเบื้องต้นกำหนดสัดส่วน 1 คนต่อพื้นที่ 2 จังหวัด เริ่มดีเดย์กันตั้งแต่สุดสัปดาห์เป็นต้นไป
โดยกำหนดการของนายกรัฐมนตรีจะเริ่มที่จังหวัดลพบุรี เป็นแห่งแรก
แม้ว่าจะให้เหตุผลอ้างเพื่อติดตามความคืบหน้านโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และเยี่ยมเยียนประชาชน แต่ทุกอย่างก็เห็นคำตอบอยู่ในตัวแล้วว่า งานนี้เป็นการหาเสียง ช่วงชิงรากหญ้าให้เปลี่ยนใจ
เพราะบังเอิญว่าเป็นช่วงเวลาที่นโยบายสำคัญกำลังเดินหน้า เห็นผล ไม่ว่าจะเป็นเงินช่วยเหลือ 2 พันบาท เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคนละ 500 บาท เงิน อสม. ให้สัญญาผูกมัดทางใจขึ้นเงินเดือนกำนัน ผู้ใหญ่บ้านล่วงหน้า แจกอุปกรณ์เรียนฟรี เป็นต้น
ทุกโครงการล้วนเกี่ยวพันกับบรรดารากหญ้าแทบทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าอาจต้องเจอแรงป่วนจาก “กลุ่มเสื้อแดง” ที่ประกาศต่อต้านทุกพื้นที่ แต่ล่าสุดเท่าที่สังเกตก็ได้มีการประสานแตะมือกับกลุ่ม “เพื่อนเนวิน” จัดตั้งมวลชนกลุ่มใหม่ภายใต้ “เสื้อสีน้ำเงิน” หรือ “คนหลากสี” ขึ้นมา “บล็อก” ไม่ให้เข้ามาถึงตัว
เห็นได้ชัดจากการลงไปตรวจราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โสภณ ซารัมย์ ที่นครพนม และ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ที่สุรินทร์ ทำเอาคนรักทักษิณ ไปไม่เป็นมาแล้ว
ขณะเดียวกัน น่าสังเกตก็คือการเร่งรัดดำเนินคดีกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อย่างน้อยก็เพื่อลดแรงกดดันจากฝ่ายตรงข้ามลงได้ระดับหนึ่ง
นอกจากนี้น่าจับตาก็คือการเอาจริงเอาจังกับการเร่งรัดนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาดำเนินคดีมากขึ้น หลังจากที่ปล่อยให้ลอยไปลอยมา ดิสเครดิตประเทศ กระบวนการยุติธรรมจนเสียหายมานาน
ล่าสุดโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดก็ออกมายอมรับว่าได้ส่งทีมงานไปประสานงานกับทางกงสุลใหญ่ในฮ่องกง เพื่อสืบทราบที่อยู่เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมาแล้ว
รวมทั้งให้รองโฆษกพรรค สาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ไปยื่นหนังสือไล่บี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ให้เรียกบรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทยมาสอบปากคำ เนื่องจากเข้าข่ายความผิดอาญา มาตรา 189 ประเภทบิดบัง ซ่อนเร้น หรือรู้เห็นเป็นใจกับ นักโทษหรือผู้ต้องหาที่หลบหนีคดี โดยขีดเส้นให้ดำเนินการให้มีความคืบหน้าภายใน 2 สัปดาห์
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเปิดเกมรุกเอาคืนฝ่ายทักษิณ อย่างชัดเจนหลังจากที่เริ่มตั้งหลักได้และโครงการประชานิยมกำลังเดินหน้าเป็นรูปเป็นร่าง ประกอบกับมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ถ้าเล่นให้เป็น ให้เนียน มันก็ย่อมพลิกกลับมาเป็นต่อวันยังค่ำ !!