ประสานเสียง”ปิดฝาโลง”กันโดยพร้อมเพียงกันทั้งจากประชาธิปัตย์และเพื่อไทย สำหรับแนวคิดการโยนหินถามทาง
จับมือตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” สองพรรค “ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย”
แม้หลายคนจะมองว่าแนวคิดดังกล่าว ที่แกนนำรัฐบาลอย่างสุเทพ เทือกสุบรรณ “ผู้จัดการรัฐบาล” จะบอกว่า เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นแค่ข่าวลือ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ คนที่พูดไม่หวังดี ส่วนเพื่อไทย อย่างเฉลิม อยู่บำรุง ก็บอกว่าสูตรนี้หากจะได้เห็นก็ชาติหน้าตอนบ่ายๆ
สิ่งที่น่าคิด คือเจตนาของกระแสข่าวดังกล่าวเกิดขึ้น โดยหวังผลการเมืองในเรื่องใด?
หากมองไปเฉพาะหน้า ย่อมแลเห็นได้ชัดว่าซีกเพื่อไทย ดูจะต้องการ “เสี้ยม” พรรคร่วมรัฐบาล เป็นสำคัญ
หวังให้พรรคร่วมรัฐบาลอันประกอบด้วย ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย เพื่อแผ่นดิน ชาติไทยพัฒนา รวมใจไทยชาติพัฒนา และ กิจสังคม หวาดระแวง เกิดความขุ่นข้องหมองใจระหว่างกัน
จนถึงขั้นแตกคอกันเองไปเอง
โดยเฉพาะในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจที่นายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรีทุกคนต้องการเสียงสนับสนุนไว้วางใจเกินกึ่งหนึ่งแบบสง่างาม
ดังนั้นหากถึงวันลงมติ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลอยู่ในสภาพต่างฝ่ายต่างไม่ไว้วางใจต่อกัน นั่นย่อมส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลแน่นอน
ยิ่งเมื่อพิจารณาตามโผ “ศึกซักฟอก” ของเพื่อไทย จะพบว่ารัฐมนตรีที่โดนจองกระถินซักฟอกอยู่ในสองพรรครัฐบาลเสียงอันดับ 1 คือประชาธิปัตย์ และอันดับ 2 ภูมิใจไทย คือโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม, ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และพรทิวา นาคาสัย รมว.พาณิชย์
ทั้งนี้ จะพบว่าที่ผ่านมาสองพรรคนี้มีเส้นเปราะบาง กั้นกลางความสัมพันธ์ให้ไม่ไว้วางใจกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
จึงมิแปลก ที่เพื่อไทยจะมุ่งเน้นรัฐมนตรีจากสองพรรคนี้เป็นสำคัญ เหตุก็เพราะหวังให้คะแนนเสียงในการลงมติเกิดความเหลื่อมล้ำกันบ้าง จะได้ขยายผลกลายเป็นความขัดแย้งการเมืองตามมาหลังจากนั้น จนอาจนำไปสู่การพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาล โดยเพื่อไทยขึ้นมาเป็นแกนนำแทนปชป.
เพียงแต่กลยุทธ์ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลแตกคอ และไม่ไว้ใจกันเอง จะต้องค่อยๆ หยดน้ำลงหินบ่อยๆ เพื่อให้หินก้อนนี้ถูกเซาะลงเรื่อยๆ ก่อนจะถึงวันลงมติไว้วางใจ
แผนการนี้ เห็นจากวัตถุประสงค์-เป้าหมาย-วิธีการ แล้ว มันชัดว่าเงาของทักษิณ ชินวัตร บงการเกมอยู่เบื้องหลังทั้งหมด โดยเฉพาะการพยายามจุดกระแสรัฐบาลแห่งชาติ บนเป้าหมายที่
“ได้ก็ดี ไม่สำเร็จก็ตอกลิ่มรัฐบาล”ไปเรื่อยๆ
เริ่มจากหมากแรก คือให้ส.ส.เพื่อไทย พยายามจะเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ อันมีสาระสำคัญคือนอกจากปลดล็อกนักโทษคดียุบพรรคทั้งหมด ซึ่งกระจายอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมาก ยกเว้นประชาธิปัตย์ แล้วยังจะให้นิรโทษกรรม ยกเลิกการสอบสวนของคตส.-ป.ป.ช.ในคดีทุจริตทั้งหมด แม้ศาลจะพิพากษาตัดสินไปแล้ว
นอกจากเพื่อไทยจะเสนอร่างกฎหมายตัวนี้แล้ว ยังพยายามจะเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบพรรคประกบตามไปด้วย
จนทำให้หลายคนสับสน และพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรครู้ไม่เท่าทันเลยตกหลุมพราง ออกมาหนุนเต็มตัวโดยเฉพาะชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพราะหวังจะให้ทั้งเนวิน ชิดชอบและลูกชาย-อนุทิน ชาญวีรกูล เข้ามาเล่นการเมืองได้เลย ไม่ต้องรออีกสามปีกว่า
แต่แกนนำประชาธิปัตย์ได้ออกมาคัดค้านกฎหมายทั้งฉบับ เพราะรู้ดีว่าหากกม.ลักษณะเช่นนี้ออกมาเมื่อไหร่ บ้านเมืองลุกเป็นไฟแน่นอน
หมากเกมแรกนี้ ทักษิณวางแผน และส่งต่อให้ลูกพรรคไปเล่นต่อ ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ที่จะสามารถผลักดันกฎหมายนี้ออกมาได้ เพราะจะเจอแรงต้านจากประชาธิปัตย์เต็มตัว รวมถึงหากเสนอกฎหมายเข้าสภาฯเมื่อไหร่ “เสื้อเหลือง”จะต้องออกมาเต็มถนน
ทั้งที่ก็รู้ว่า แผนนี้ให้ออกแรงอย่างไรก็ไม่สำเร็จ แต่ทักษิณ-เพื่อไทย ก็ “ขุดหลุมล่อ” พรรคร่วมรัฐบาลสำเร็จ จนหลายคนเสียหน้าไปตามๆกัน ดีที่พลิก 180 องศา กลับมาทันเสียก่อน แม้จะเสียหายไปบ้าง แต่ก็ไม่เจ็บตัวมาก
เมื่อแผนแรกเกือบสำเร็จ แผนสองก็ตามมาทันที ครั้งนี้ ส.ส.เพื่อไทยอย่างสากกะเบือ-ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ อ้างเป็นตุเป็นตะว่าได้ร่วมรับประทานอาหารกับแกนนำประชาธิปัตย์บางคน โดยมีการพูดคุยวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ภายในพรรคร่วมรัฐบาล แล้วแกนนำปชป.คนดังกล่าวที่สากกะเบือไม่ได้บอกว่าเป็นใคร นำความลับในพรรคร่วมรัฐบาลมาบอกกับคนเพื่อไทยในทำนองว่า
“ตอนนี้แกนนำประชาธิปัตย์อึดอัดใจกับท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค ที่เริ่มมีปัญหาทำงานด้วยกันยาก และเป็นห่วงเสถียรภาพรัฐบาลในระยะยาว”
ข่าวดังกล่าว แกนนำปชป.พากันรีบออกมาปฏิเสธ และตัดไฟแต่ต้นลมว่า “เชื่อไม่ได้” และเมื่ออ่านเกมนี้ดูแล้ว ก็เป็นการทิ่มไปที่ภูมิใจไทย ของเนวิน ชิดชอบ เป็นสำคัญ
คล้ายกับต้องการให้ ปชป.-ภูมิใจไทย ไม่ไว้ใจกันและกัน
ยิ่งเมื่อเห็นท่าทีของภูมิใจไทยระยะหลัง ที่ดูจะเติบโตเร็วผิดปกติ และมีข่าวส.ส.อีสาน-กลางของเพื่อไทย เตรียมผละออกจากเพื่อไทยไปอยู่กับภูมิใจไทย
ทักษิณเลยหวังสกัดภูมิใจไทย และแก้แค้นเนวิน ชิดชอบ ก็เลยเสี้ยมให้แตกคอให้ได้ แม้ตอนนี้จะไม่ได้ผล ทว่าอย่างน้อยก็อาจทำให้สายสัมพันธ์ของปชป.-ภูมิใจไทย ไม่แนบแน่นเหมือนเดิม
จากนั้นอีกไม่กี่วัน ปรากฏการณ์ที่ 3ก็เกิดขึ้นแบบแปลกๆ เมื่อมีข่าวแกนนำเพื่อไทยอ้างว่า ได้รับการติดต่อจากประชาธิปัตย์ให้ร่วมกันตั้งรัฐบาล
ข่าวนี้ถูกกลบเงียบหายไปทันที เมื่อมีคำปฏิเสธเสียงแข็งจากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่า สองพรรคนี้ อุดมการณ์การเมืองต่างกัน ร่วมงานกันลำบาก
แล้วปรากฏการณ์ที่ 4 ก็โผล่มาอีกเป็นระลอกในเวลาสรุปรวมทั้งหมด 1 สัปดาห์คือ ประชาธิปัตย์ ผวา “ตายหมู่”
หากเพื่อไทยแฉกลางสภาเรื่องการนำเงินอุดหนุนจาก กกต.ที่ประชาธิปัตย์ได้ไป 23 ล้านบาทไปใช้ในกิจกรรมการเมืองโดยมีเงื่อนงำ รวมถึงเรื่องเงินบริจาค 258 ล้านของทีพีไอ ในช่วงบัญญัติ บรรทัดฐานเป็นหัวหน้าพรรคและนิพนธ์ บุญญามณี เป็นรองเลขาธิการพรรคดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง
เพราะข้อมูลลึกๆ ที่อยู่ในมือเพื่อไทย อาจนำไปสู่การ “ยุบพรรค”ได้
ทั้งเรื่องที่มาที่ไปของการโยกย้ายเงินบริจาค 258 ล้านออกไปใช้ในการเลือกตั้ง แบบเป็นล็อตๆ บนรายงานข่าวที่ว่าเพื่อไทยได้เอกสารชุดใหญ่ที่จะแสดงให้เห็นการโยกย้ายเงินออกไปอย่างไร
หรือการทำหลักฐานเอกสารทางการเงินปลอม ในการแจ้งกับ กกต.ทั้งใบกำกับภาษีปลอม ใบเสร็จรับเงินปลอม ที่ ปชป.ทำกับบริษัทเมซไซอะฯ ที่โยงถึงตัว ส.ส.ประชาธิปัตย์และเคยเป็นอดีตแกนนำพรรคในช่วงเลือกตั้งปี 48
ประเด็นนี้ แม้ภายนอกแกนนำปชป.หลายคนจะแสดงความมั่นใจว่า ผู้เกี่ยวข้องทุกคนจะชี้แจงได้ และหากท้ายสุดเรื้อรังจริงๆ ก็ต้องตัดเนื้อร้ายทิ้ง
อันเป็นไปได้ที่จะมีการตัดตอนไปที่ ส.ส.ประชาธิปัตย์บางคน ให้รับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทางสังคม แล้วก็เตรียมตัวไปสู้คดียุบพรรคในชั้นกกต.-อัยการ-ศาลรธน.ต่อไปหากว่าเรื่องนี้จะขยายผลออกไป บนความเสี่ยงที่ว่าหากใช้บรรทัดฐานเรื่อง
การรับผิดชอบร่วมกันของกรรมการบริหารพรรค
ที่ กกต.-อัยการ-ศาล รธน.ได้วางไว้ในคดียุบพรรคทุกพรรคก่อนหน้านี้ ประชาธิปัตย์ก็เสี่ยงไม่น้อย ที่จะต้องเดินเข้าสู่ตะแลงแกงยุบพรรคเช่นกัน
อันจะทำให้แกนนำรัฐบาล-ปชป.เวลานี้ อาจต้องประสบชะตากรรมโทษแบนการเมืองห้าปี ไม่เว้นแม้แต่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ช่วงเกิดเหตุคือปี 2548 เขาเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อถูกแบล็กเมล์เช่นนี้ ปชป.จึงตอบรับข้อเสนอเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน เพื่อให้เพื่อไทยลดดีกรีการตรวจสอบเรื่องนี้ แลกกับอำนาจรัฐในฐานพรรคร่วมรัฐบาลแห่งชาติ
และปรากฏการณ์สุดท้ายในปลายสัปดาห์ดังกล่าว ก็ถูกปัดอีกเช่นกันทั้งจากคนของเพื่อไทยเองและแกนนำรัฐบาล
เมื่อวิเคราะห์คุณลักษณะนิสัยของคนที่มีอำนาจตัดสินใจ เช่น อภิสิทธิ์-สุเทพ แม้แต่รุ่นใหญ่อย่าง ชวน หลีกภัย ด้วยแล้ว ก็คาดได้ไม่ยากว่า
อภิสิทธิ์-สุเทพ พร้อมจะยอมตายทางการเมืองห้าปีในคดียุบพรรค ดีกว่าที่จะไปจับมือกับทักษิณเพราะหากทำเช่นนั้น ไม่ใช่แค่ตายห้าปี แต่ตายตลอดชีวิตการเมืองเลยทีเดียว
แม้ว่าในทางการเมืองทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ บางคนจึงยังเชื่อว่าทุกสูตรการเมืองย่อมเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ทว่าสูตรเพื่อไทย-ปชป.จับมือตั้งรัฐบาล อภิสิทธิ์จูบปาก กับทักษิณ
แค่ได้คิด ก็สยองไปสามวันเจ็ดวันแล้ว
จึงไม่แปลกที่วันนี้ กระแสข่าวที่เกิดขึ้นว่า อาจจะมีการจับมือเพื่อ”ซูเอี๋ย”กันของเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ แล้วตัด”ภูมิใจไทย”ออกจากรัฐบาลได้ถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดีจากประชาธิปัตย์และแกนนำเพื่อไทยหลายคน แม้จะมีส.ส.เพื่อไทย ซีกที่เดินทางไปพบทักษิณ ที่ฮ่องกงเป็นฝ่ายออกมาจุดประเด็นเรื่องนี้ โดยอ้างว่าทักษิณไม่ขัดข้องกับเรื่องนี้หากจะเกิดขึ้นจริง
อันทำให้เห็นได้ชัดว่า แผนการคืนสู่อำนาจและประเทศไทยของทักษิณ แม้ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล คือทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ อันแสดงให้เห็นว่าระยะสุดท้ายของทักษิณใกล้มาถึงทุกขณะ ขนาดจะให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติก็ยังไม่เว้น เพราะรู้ดีว่าหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้
จะสูญสิ้นหมดทุกอย่าง ทั้งเงิน-กระแสนิยม –ส.ส.เพื่อไทยในสังกัดที่เตรียมย้ายออกจากพรรค
ขณะเดียวกัน การต้องหนีคดีในต่างประเทศหนักขึ้น หลังรัฐบาลสั่งเฉียบขาดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการไล่ล่าทักษิณ โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่าใส่เกียร์ว่างในการร้องขอให้ประเทศต่างๆ ที่ทักษิณจรลีไปส่งตัวกลับมาในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ดังนั้นแม้ตัวเองจะต้องหนีคดีในต่างประเทศ แต่หากคนใกล้ชิด พรรคพวกยังอยู่และมีอำนาจรัฐในมือ โดยหยิบยกเอาเรื่อง “สมานฉันท์”มาบังหน้า
น่าเสียดายว่า ทุกแผนของทักษิณ ดูเหมือนไม่เพียงแต่ประชาธิปัตย์ พรรคร่วมรัฐบาล จะรู้เท่าทัน เหมือนกับที่รู้มาก่อนหน้านี้ในช่วง 48 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนวันลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อ 15 ธันวาคม 2551 ที่เพื่อไทยพยายามขอให้มีการตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ”ก่อนวันลงมติ
เหตุเพราะประเมินแล้วว่า จัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ ไม่อยากเป็นฝ่ายค้าน เลยขอจับมือกับปชป. แต่ก็ไม่สำเร็จ
วันนี้เพื่อไทย-ทักษิณ เมื่อเข้าตาจน ดิ้นรนไปทุกหนทาง ก็มีแต่เข้าเนื้อให้แผลอักเสบหนักขึ้นจนยากจะเยียวยารักษาได้
เห็นรูปการแบบนี้แล้ว บอกได้คำเดียวว่า ทุกแผน ทุกวิธีการของทักษิณ-เพื่อไทย ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของฝ่ายตัวเองทั้งสิ้น และเจ้าตัวคงแค้นใจไม่น้อย ที่แผนซึ่งวางไว้ทั้งหมด กลายเป็น “มุขแป๊ก”
แบบนี้ชะตากรรม “น.ช.ทักษิณ ชินวัตร”ก็ไม่น่ารอดสันดอน คุกตะรางไปได้