“บิ๊กบัง” เปิดใจผ่าน “เอเอสทีวี” ยันไม่เคยคิดตั้งพรรค เหตุศักยภาพไม่เพียงพอ ไร้ทุนสนับสนุน ปัดข่าวจับมือ “มนูญกฤต” เจรจา “วัฒนา” ขอใช้พรรคราษฎรเป็นฐาน เผยกองทัพชื่อชมพันธมิตรฯ เชื่อมีจำนวนมากกว่าคนเสื้อแดง อยากให้เพิ่มบทบาทสร้างสมานฉันท์ ระบุรับไม่ได้ 7 ตุลาฯ มีคนตาย หากเป็น ผบ.ทบ.ตอนนั้น นักการเมืองคงเกรงใจ เผยทัศนะการเมืองใหม่ต้องปราศจากโกงกิน สร้างวินัยให้คนในชาติ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ให้สัมภาษณ์
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์นายเติมศักดิ์ จารุปราณ ทางรายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมาต่อกระแสข่าวการตั้งพรรคการเมืองว่า การตั้งพรรคการเมืองนั้น องค์ประกอบมีหลายอย่าง ไม่เหมือนการตั้งบริษัทที่มีกรรมการ 6 คนก็ตั้งได้ แต่พรรคการเมืองต้องประกอบด้วยองค์กรพรรค สมาชิกพรรค และงบประมาณ หากไม่มี 3 อย่างนี้ก็ตั้งไม่ได้โดยเฉพาะทุนนั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุด นายทุนที่พร้อมจะมาสนับสนุนคงจะยาก ตนรับราชการทหารมา ทำการปฏิรูป มาเป็น คมช. ทุกคนก็อยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้ กลัวได้รับผลกระทบ นักธุรกิจก็พากันอยู่ห่างๆ จึงไม่มีนักธุรกิจคนไหนจะมาสนับสนุน เพราะเขาทำธุรกิจกว่าจะร่ำรวยขึ้นมา กว่าจะได้เงินแต่ละบาท แล้วจะเอามาให้ 500 ล้าน 1,000 ล้าน คงจะยาก
ส่วนข่าวที่ว่า พล.อ.สนธิ กำลังจับมือกับ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ตั้งพรรคการเมืองใหม่โดยไปเจรจากับนายวัฒนา อัศวเหม เพื่อใช้พรรคราษฎรเป็นฐานนั้น พล.อ.สนธิได้ปฏิเสธข่าวดังกล่าว พร้อมระบุว่าไม่ได้เจอกับ พล.ต.มนูญกฤตมานานแล้ว ส่วนนายวัฒนาเคยคุยกันบ้าง แต่ระยะหลังไม่มีโอกาสได้คุยกันแล้ว ส่วน ดร.มั่น พัธโนทัย คนใกล้ชิดนายวัฒนา ก็ไปงานแต่งงานหลาน คุยกันตามปกติเพราะเป็นคนน่ารัก แต่ไม่ได้คุยเรื่องการเมือง
สำหรับข่าวที่ว่า ต่อไปพรรคราษฎรจะเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคมาตุภูมินั้น พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ไม่ทราบ คงต้องไปถามพรรคเอง ส่วนข่าวที่ว่าได้ไปคุยกับกลุ่มวาดะห์ คือ นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ นายนัดมุดดิน อูมา และนางฟารีดา สุไลมาน เพื่อชูให้พรรคการเมืองที่จะตั้งใหม่เป็นพรรคของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น พล.อ.สนธิได้ปฏิเสธเช่นกัน โดยบอกว่าทั้ง 3 คนนั้น ได้คุยกันบ้างในโอกาสไปทำบุญหรือมีพิธีกรรมต่างๆ แต่ไม่ได้คุยกันเรื่องการเมือง กรณีการเดินทางไปซาอุดิอาระเบียพร้อมกับนายอารีเพ็ญเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก็เป็นการไปทำบุญอุมเลาะห์ ไม่ได้คุยการเมือง เรื่องนี้ยืนยันได้
พล.อ.สนธิยังได้ปฏิเสธข่าวการไปเจอกับนายพินิจ จารุสมบัติ รวมทั้งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และย้ำว่าเรื่องตั้งพรรคการเมืองนั้นไม่ต้องคิดเลย สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าทำไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องทุนอย่างเดียว แต่มีหลายอย่าง เช่น เอาคนมาอยู่ด้วยกันแล้วมันไม่ได้เป็นอะไร ก็อยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นข่าวที่ว่าจะเปิดตัวพรรคใหม่ในเดือนเมษายนนั้นไม่มีแน่นอน
ทั้งนี้ พล.อ.สนธิ มองว่า ข่าวการตั้งพรรคการเมืองนั้น น่าจะเป็นแผนทำลายความน่าเชื่อถือของทหารที่ทำการยึดอำนาจมากกว่า เพราะต้องการทำให้เห็นว่า การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.นั้น ก็เพราะต้องการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง มีการอ้างถึงแผน 5 ขั้น ซึ่งอ่านแล้วก็ขำขันกับสิ่งที่เขียน
พล.อ.สนธิยืนยันว่า ในการยึดอำนาจวันที่ 19 ก.ย.49 นั้น เป็นเอาชีวิตเข้าแลก ซึ่งถ้าแพ้ก็เป็นกบฏหรือตายอย่างเดียว ดังนั้นเมื่อทำเพื่อบ้านเมืองขนาดนี้แล้ว จะไปทำอย่างอื่นอีกทำไม ที่มีการวิเคราะห์ว่า ต้องการตั้งพรรคการเมือง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังใช้อำนาจผ่านักการเมืองในเครือข่ายได้อยู่นั้น พล.อ.สนธิกล่าวว่า เลยจุดที่ คมช.จะใช้อำนาจแล้ว เพราะ คมช.มีอำนาจแค่ 14 วันหลังการยึดอำนาจ เมื่อถึงวันที่ 15 ก็ไม่มีแล้ว และทุกอย่างต้องทำตามรัฐธรรมนูญ
อดีตประธาน คมช.ย้ำว่า ในเวลานี้จะไม่มีชื่อ พล.อ.สนธิ อยู่เบื้องหน้าหรือเบื้องหลังพรรคการเมืองอย่างแน่นอน แต่ในอนาคตตอบไม่ได้ว่าจะเล่นการเมืองหรือไม่ เพราะต้องแล้วแต่ประชาชน ส่วนข่าวที่ออกมาตรงข้ามกับที่ พล.อ.สนธิตอบวันนี้ ต้องไปถามผู้เขียนว่าเอาข้อมูลมาจากไหน
พล.อ.สนธิยังปฏิเสธการมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ให้คนที่เคยสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณให้ไปอยู่ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยชี้แจงว่า ตนไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วได้ เพราะการเมืองมีอะไรลึกๆ ถ้าไม่มีอำนาจบารมีพอ ก็ไปบังคับใครไม่ได้
ส่วนกระแสข่าวที่ว่ามีการใช้บ้านพักของ พล.อ.สนธิ ในราบ 11 เป็นฐานในการเจรจาทางการเมืองนั้น พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ที่บ้านในราบ 11 นั้น มีคนมาหาตามปกติ ตั้งแต่ช่วงก่อนเปลี่ยนขั้ว โดย พล.อ.อนุพงษ์ก็มาหาในฐานะรุ่นน้อง แต่ไม่ได้มาปรึกษาเรื่องการเมือง
สำหรับข่าวที่ว่ามีการใช้งบประมาณหลายสิบล้านบาทสร้างบ้าน 3 หลังภายในราบ 11 นั้น พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เป็นบ้านรับรองสำหรับ 5 เสือ ทบ.(ผู้บัญชาการทหารบก, รองผู้บัญชาการทหารบก, ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก 2 ตำแหน่ง, เสนาธิการทหารบก) ซึ่งตอนนี้สร้างเสร็จแล้ว 3 หลัง ยังเหลืออีก 2 หลัง โดยหลังที่เสร็จแล้วนั้นตนขออาศัยอยู่ก่อน ในฐานะอดีตประธาน คมช. จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น เพราะการโจมตียังมีอยู่ มีคนมาบอกให้ระวังตัว เราจึงประมาทไม่ได้ ไปไหนมาไหนมีคนมาเตือนบอกให้ระวังตัว โดเฉพาะในช่วงนี้ 3-4 เดือนมานี้ ก่อนเปลี่ยนขั้ว ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะมีการลอบทำร้ายอย่างไร แต่เขาให้ระวังตัว
อย่างไรก็ตาม พล.อ.สนธิ กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองตอนนี้ถือว่าดี สบายใจ และรู้สึกว่าน่าจะมีความมั่นคง ประชาชนพอใจ มีความสุขขึ้น แต่จะอยู่นานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะเดินไปด้วยความมั่นคงแค่ไหน ประชาชนมองเห็นว่ามีความโปร่งใสเพียงใด
พล.อ.สนธิเปิดเผยอีกว่า ขณะนี้กำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 เพราะหนังสือ “ลับ ลวง พราง”ที่ออกมาก่อนหน้านี้ เป็นการปะติดปะต่อจากคำพูด ซึ่งบางส่วนไม่ตรงกับข้อเท็จจริง นอกจากนี้ก็กำลังเรียนระดับปริญญาเอกด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่การเรียนครั้งนี้ เพื่อต้องการจะรู้การเมืองเท่านั้น ไม่ได้เรียนเพื่อที่จะลงเล่นการเมืองแต่อย่างใด
พล.อ.สนธิ ยังได้กล่าวถึงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ถือว่าพันธมิตรฯ และกองทัพไปด้วยกัน และขอชื่นชม ตนติดตามดูเอเอสทีวีมาตลอดเวลา และมีความรู้สึกในทางที่ดี แต่ทั้งนี้ อยากจะให้พันธมิตรฯและเอเอสทีวีพยายามทำให้คนในชาติเลิกแบ่งสี ให้ทุกฝ่ายเกิดความรักประเทศไทย ซึ่งเชื่อว่าน่าจะทำได้ เพราะตนมั่นใจว่าพันธมิตรมีปริมาณสูงกว่า สามารถซึมซับส่วนที่น้อยกว่าเข้ามาได้ ตนมีญาติทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง เคยถามความคิดทั้งสองคน คิดว่าทำให้เป็นสีเดียวกันได้ไม่ยาก
พล.อ.สนธิ ได้ตอบคำถาม กรณีที่ไม่ได้บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นปัญหาของชาติว่า ตนจะไม่พูดอะไรที่จะทำให้เกิดความแตกแยกเพิ่มเติม แต่จริงๆ แล้วก็รู้ว่าใครคือตัวปัญหา ส่วนข่าวที่ว่าหากตั้งพรรคการเมืองแล้วจะช่วย พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ก็ไม่ใช่เช่นกัน เพราะไม่รู้จะช่วยทำไม
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณและเครือข่ายมีการโจมตีสถาบันหลักของชาตินั้น พล.อ.สนธิกล่าวว่า ทั้งทหารและตำรวจ ไมได้อยู่นิ่งเฉย แต่การออกตัวบางครั้งจะมีความเหมาะสมหรือไม่ และบางครั้งบทบาทไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจทหารเอง และบางอย่างอาจต้องปิดลับ ซึ่งคำว่า “ลับ ลวง พราง”เป็นวิธีการทางทหาร ไม่ใช่มีอะไรพูดหมด ส่วนความแตกต่างระหว่างการไม่ทำอะไรเลย กับการทำอย่างลับๆ อยู่ที่ผลสัมฤทธิ์ที่ออกมา
พล.อ.สนธิ กล่าวถึงเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ว่า สาเหตุที่กองทัพไม่ได้ทำอะไร เชื่อว่าคงเป็นเพราะรัฐบาลไม่กล้าใช้กองทัพ เพราะทหารจะออกมาได้ต้องอยู่ภายใต้การประกาศภาวะฉุกเฉิน หรือมีคำสั่งให้ออกมา ถ้าไม่มีแล้วเราออกมาเราจะมีความผิด แต่ทหารต้องทำทุกอย่างเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน แต่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ก็มีอำนาจหน้าที่ทำได้แค่นั้น
พล.อ.สนธิกล่าวต่อว่า เหตุการณ์วันนั้นโดยหลักสากล เรายอมรับได้ แต่หลายคนใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง ตนยอมรับไม่ได้ที่ทำให้ประชาชนเสียชีวิต
เมื่อถามว่าถ้าเป็น ผบ.ทบ.ตอนนั้นจะปล่อยให้มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่พันธมิตรฯ หรือปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบ 7 ตุลาฯ หรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า บุคลิกของตนไม่เหมือน พล.อ.อนุพงษ์ เวลาไม่ยิ้มก็อีกอย่าง เวลาอยู่กับใคร ทุกคนจะเกรงใจ นักการเมืองจะทำอะไร คงต้องถามตนก่อน เพราะหน้าตา เวลาไม่ยิ้มอาจจะดุ
พล.อ.สนธิกล่าวว่า ที่ตนเรียนปริญญาเอกด้านรัฐศาสตร์ ที่ ม.รามคำแหงนั้น ต้องการจะเอาความมาช่วยพัฒนาการเมือง แต่ไม่ใช่ปูทางสู่การเมือง เพราะทุกคนมีหน้าที่ต้องรู้เรื่องการเมือง ปัญหาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตนเข้าใจพอสมควร และเห็นว่าปัญหาอยู่ที่อุดมการณ์ทางการเมือง จริยธรรมทางการเมือง ส่วนรูปแบบทางการเมืองมันดีอยู่แล้ว ทำอย่างไรที่จะให้ปฏิบัติได้
ส่วนข้อเรียกร้องให้กลับไปใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 นั้น ไม่ใช่ปัจจัย เพราะเนื้อหาของฉบับปี 2540 ก็ไม่ต่างจาก 2550 ปัญหาอยู่ที่ว่าคุณธรรมจริยธรรมของนักการเมืองต่างหาก สำหรับข้อสังเกตที่ว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ออกมาเพื่อกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ต้องถามคนที่ร่าง
พล.อ.สนธิ กล่าวถึงข่าวการล่าสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ถึงกับอกว่าเป็น 1 ใน บันได 5 ขั้นว่า เท่าที่ดูกำลังของที่ฝ่ายที่จะไปทำภารกิจนี้มีไม่มากที่จะปฏิบัติการได้ การหาคนที่จะทำ เครื่องไม้เครื่องมือ แล้วคนที่จะฝึกคงไม่ง่าย ข่าวนี้จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง แต่การปล่อยข่าว มันเป็นเครื่องมือในการหาเสียง หรือหาความสงสารมากกว่า
พล.อ.สนธิได้กล่าวถึงปัญหาการทำงานของสื่อมวลชนว่า เท่าที่รู้จักกับสื่อมวลชนที่ทำข่าวสายทหาร หลายคนยังขาดประสบการณ์ ขาดความสามารถที่จะวิเคราะห์และนำเสนอให้ประชาชนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ส่วนมากเมื่อเห็นอะไรมาก็เขียนไปแบบนั้น ไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์ เพราะไม่มีฐานความรู้ กองทัพบกจึงมีโครงการเชิญผู้สื่อข่าวไปอบรม เราอยากให้เอาคนมีความรู้ไปอยู่ ไม่ใช่เอาใครไปอยู่ก็ได้ บางทีนักข่าว 10 คนไปลอกเอาของคนๆ หนึ่งมาแล้วก็มาแบ่งกันส่ง ปัญหาการทำงานของสื่อจึงเป็นปัญหาสำคัญของบ้านเรา ซึ่งรัฐมนตรีที่รับผิดชอบต้องดูแลด้วย
พล.อ.สนธิ ได้ให้คำนิยามการเมืองใหม่ว่า คิดแบบง่ายๆ คือ รัฐธรรมนูญการปกครองต้องเป็นแบบบ้านเรา แต่ละมาตราต้องกำหนดชัด และปฏิบัติได้จริง สิ่งที่สำคัญ การเมืองใหม่ ต้องไม่มีการโกงกิน บ้านเมืองจะไปได้เร็วมาก นอกจากนี้รัฐธรรมนูญต้องกำหนดมาตรการในการควบคุมให้คนมีวินัย รักษากฎกติกามากขึ้น ต้องกำหนดมาตรการป้องกันโกงกิน บทลงโทษให้ชัดเจน ให้คนมีวินัย ยกตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม เกาหลี ญี่ปุ่น เขามีวินัยกันหมด ประเทศเขาจึงเจริญเร็วมาก
เมื่อถามว่าจะมีวิธีลัดขั้นตอนไปสู่การเมืองใหม่ไม่ พล.อ.สนธิกล่าวว่า ไม่มีทางลัด ต้องให้รัฐบาลตัดสินใจว่า เราต้องสร้างการเมืองใหม่ ในความเห็นของตนคิดว่าทำได้ไม่ยาก ให้รักษารัฐธรรมนูญนี้ไว้ แล้วขจัดการโกงกิน ประเทศชาติก็จะมีความหวัง ส่วนขั้นตอนพิเศษ มันทำไม่ได้ การเมืองมันต้องมีวิธีการแก้ปัญหาของมัน ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี หวังว่านายกฯ จะสร้างการเมืองใหม่ได้ สิ่งที่ตนหวังอันเดียวขณะนี้ คือเมืองไทยต้องไม่มีคอร์รัปชั่นเท่านั้น