“สมเจตน์” สับเละ “นช.แม้ว” แค่นักโทษไร้ราคา ย้ำชัดไม่ควรให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวทำลายชาติ ค้านสุดตัว “กม.นิรโทษกรรม” หวั่นทำลาย “สถาบันศาล” ลั่นยังมั่นใจ “มาร์ค” บริหารประเทศ เหตุเพราะบุคลิก-ผลงานดี เตือน “รัฐบาล” หากพบข้อผิดพลาดต้องเร่งแก้ไข-อย่าปิดบังอำพราง
วันที่ 6 ก.พ. รายงานข่าวแจ้งจากสำนักข่าวทีนิวส์ว่า พล.อ.วินัย ภัททิยกุล อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ “หัวหมู่ทะลวงฟันระบอบทักษิณ” ของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. โดยระบุถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อ้างว่าถูก คมช.กลั่นแกล้งว่า ตนอยู่นอกวงการไม่ห่วงอะไร อีกทั้ง คมช.ปิดฉาก โดยหมดบทบาทไปตั้งแต่ต้นปี 2551 แล้วคงไม่มีอะไร ทั้งนี้การเมืองจะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ตามวิธีทางของการเมือง
เมื่อถามว่า อยากฝากอะไรถึง พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะยังไม่หยุดทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย พล.อ.วินัย กล่าวว่า คงไม่ฝากอะไร เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะคิดเองได้ เพียงแต่จะใช้ข้อมูลด้านไหน ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังประกาศสู้นั้น ก็แล้วแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ คงต้องหาบทสรุปของตัวเอง เมื่อถามย้ำว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ควรยุติเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่ พล.อ.วินัย ย้อนถามกลับว่า สื่อมวลชนคิดเห็นอย่างไรตนก็คิดคล้ายกันอย่างนั้น เมื่อถามว่าสนใจที่จะเล่นการเมืองหรือไม่ พล.อ.วินัย กล่าวว่า ยังไม่ได้คิด ส่วนกรณีพรรคไทยต้องการผลักดันให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองนั้น พล.อ.วินัย กล่าวว่า คงต้องให้เป็นหน้าที่ของการเมืองที่จะเข้าไปดูแลส่วนนั้น
ด้าน พล.อ.สมเจตน์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยต้องการผลักดันให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองว่า กรณีดังกล่าว เป็นแนวความคิดของพรรคเพื่อไทย แต่โดยส่วนตัวคิดว่าขณะนี้เร็วเกินไป เพราะการจะแก้กฎหมายต้องมุ่งที่ประโยชน์ของชาติ และประชาชนเป็นหลัก หากทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติถือว่าเหมาะสม ซึ่งต้องไปดูเจตนารมณ์ว่าเมื่อแก้กฎหมายแล้ว ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทั้งนี้คดีอาญาหลังวันที่ 19 ก.ย.49 มีมากมาย หากมีการนิรโทษกรรม ก็จะเป็นการทำลายสถาบันของศาล ซึ่งต้องพิจารณาว่า พรรคเพื่อไทยมีเหตุผลที่เหมาะสมหรือไม่
“กฎหมายเป็นสิ่งที่คนเขียนขึ้นมา เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งเกิดความไม่เหมาะสม ก็แก้ไขได้ แต่การแก้ไขต้องยึดหลักประโยชน์เพื่อชาติ และประชาชน หากประเทศชาติได้ประโยชน์ ก็สมควรจะแก้ไข แต่ถ้าไปเกิดประโยชน์กับบุคลหนึ่งบุคคลใด คิดว่าไม่เหมาะสม ส่วนการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น คิดว่าการที่เราจะฟังใครสักคนหนึ่ง คนๆ นั้นจะต้องมีคุณค่าแก่การรับฟัง มีความน่าเชื่อถือ หากความคิดเห็นที่เราฟังแล้วเกิดประโยชน์ต่อชาติ เราก็ควรฟัง แต่ถ้าคนๆ นั้นพูดแล้วก่อให้เกิดความแตกแยกในแผ่นดิน หรือเกิดความเสียหาย และหากบุคคลผู้นั้นเป็นผู้ที่หนีคดีอาญา เราไม่ควรให้ความสนใจ” พล.อ.สมเจตน์ กล่าว
เมื่อถามว่า เป็นห่วงหรือไม่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีคนในสังคมส่วนหนึ่งชื่นชม พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า เป็นธรรมดาที่คนๆ หนึ่งต้องมีทั้งคนรัก และคนชอบ ฉะนั้นรัฐบาลต้องชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ประชาชนรักนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเหมาะสมหรือไม่ โดยนำข้อเท็จจริงมาชี้แจงให้ประชาชนรับทราบ แล้วให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ถ้าความรักนั้นทำให้เกิดความแตกแยกในแผ่นดิน ก็ถือว่าไม่มีความเหมาะสม
“อยากให้สื่อจับตามองการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติอย่างไร แต่ผมไม่ให้ความสำคัญ และไม่ให้ราคาต่อการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะผมมองไม่เห็นว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา รังแต่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ ทำให้ประชาชนแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย หากไม่มีความมั่นคงทางการเมือง เราจะไม่สามารถร่วมมือร่วมใจกันในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจได้” พล.อ.สมเจตน์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่าถูกกองทัพ และ คมช.กลั่นแกล้ง จนทำให้ต้องพบกับความลำบากนั้น พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า การจะอ้างก็สามารถอ้างได้ แต่ต้องดูพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่หนหลังว่า สิ่งที่ทำก่อให้เกิดความเสียหายต่อชาติอย่างไร อยากให้สื่อ และประชาชนพิจารณา แล้วตัดสินว่าข้ออ้างนั้นๆ เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ทุกคนต้องช่วยกัน ไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีแผ่นดินอยู่ เพราะถ้าหากประเทศชาติยังแตกแยก อีกหน่อยเราจะไม่สามารถร้องเพลงชาติไทยให้คนอื่นฟังได้
เมื่อถามถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ทำงานเป็นอย่างไร พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ปรากฏชัดคือ ประชาชนมีความสุขขึ้น แต่จะให้ดีตามที่คาดหวังไว้ทั้งหมดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการทำงานของรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ ว่าจะแก้ปัญหาให้ชาติได้อย่างไร เพราะการทำงานเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมีความผิดพลาด หากผิดพลาดต้องแก้ไข ไม่ใช่ช่วยกันปิดบังหรืออำพรางไว้ ถ้าเป็นอย่างนั้นประเทศชาติจะไปไม่รอด
“การทำงานเพื่อประชาชนต้องมองหลายมุมมอง หากทำงานโดยยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง โอกาสที่ผิดพลาดก็จะน้อยลง แต่ถ้าหากทำงานโดยยึดถือผลประโยชน์ส่วนตน หรือพรรคพวก โอกาสผิดพลาดก็จะมีมาก ซึ่งผมมองว่าเรื่องการเมืองเป็นการแบ่งผลประโยชน์ แต่ต้องเป็นผลประโยชน์ที่มีความชอบธรรม ไม่ใช่แบ่งปันผลประโยชน์เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง ซึ่งถ้ายึดมั่นตรงนั้น รัฐบาลจะบริหารประเทศไปได้ อีกทั้งผมมีความเชื่อว่าโดยบุคลิกและประวัติของนายอภิสิทธิ์ รวมถึงฝีมือการทำงานใน 2 เดือนที่ผ่านมานั้น ยังเชื่อมั่นรัฐบาลที่มีนายกฯ ชื่ออภิสิทธิ์เป็นผู้บริหารประเทศ” พล.อ.สมเจตน์ ระบุ
เมื่อถามว่า สนใจที่จะเล่นการเมืองหรือไม่ พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ถ้าหากหมายถึงการมีตำแหน่งหน้าที่เป็นรัฐมนตรี หรือมีตำแหน่งทางการเมือง ขณะนี้ตนไม่สนใจ แต่ถ้าการเมืองคือ การที่ตนจะใช้ความรู้ ความสามารถ เข้าไปแก้ปัญหา เพื่อสร้างความกินดีอยู่ดีให้ประชาชน และสร้างความมั่นคงให้สถาบัน และประเทศชาติ ถ้าการเมืองเช่นนี้คงอยู่ในหัวใจตน อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีพรรคการเมืองใดมาทาบทามให้ไปเล่นการเมือง
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า สมาชิก คมช.เตรียมตั้งพรรคการเมืองนั้น พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นเพียงกระแสข่าว คงไม่ใช่ความจริง โดยเฉพาะ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.นั้น ตนไม่ทราบ แต่เท่าที่ได้ฟังข่าวจาก พล.อ.สนธิ ตนยังไม่ได้ทราบความเคลื่อนไหวตรงนี้ แต่สำหรับ พล.อ.วินัย ขณะนี้ท่านไม่สนใจที่จะตั้งพรรคการเมือง