"หากเชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้นก็ย่อมมองเห็นภาพทันทีว่าการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทั้งหมดช่างบังเอิญสอดรับกันพอดี และต่างเปิดหน้าเปิดตัวออกมา ร่วมกันขับเคลื่อนอยู่ใน ยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ และชนบทล้อมเมือง”
สรุปตรงกันแล้วว่าการ “โฟนอิน” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ครั้งล่าสุดเมื่อสองสามวันก่อนระหว่างการสัมมาของพรรคเพื่อไทย จนกระทั่งประกาศออกมาเป็น “ปฏิญญาเขาใหญ่” นั่นคือยุทธศาสตร์และยุทธวิธีสำหรับการยึดอำนาจรัฐกลับคืนมาให้ได้โดยเร็วที่สุด
วางเป้าหมายเพื่อกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ทวงทรัพย์สิน หรือเพื่อให้รอดพ้นคุกพ้นตะรางจากคดีทุจริตให้ได้
อย่างไรก็ดีเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ต้องเชื่อมโยง ปะติดปะต่อแต่ละความเคลื่อนไหวในช่วงเวลาเดียวกันมาประกอบ หากสังเกตให้ดีทุกอย่างล้วนมีความสัมพันธ์จนแยกไม่ออก และมีที่มาที่ไปจากแหล่งเดียวกัน
และเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นก็ต้องแยกออกเป็นสองส่วนคือการวางเกมทั้งภายในประเทศและภายนอก จากนั้นค่อยประสานตีโอบล้อมกันเข้ามาพร้อมๆกัน
เกมภายในประเทศก็ยังแยกย่อยออกเป็นภายในสภาและนอกสภา ในสภาก็จะเห็นวิธีตีรวน นับองค์ประชุม ตั้งกระทู้ เตะถ่วง ขัดขวางให้ถึงที่สุด เนื่องจากรู้ดีว่าเสียงของฝ่ายรัฐบาลปริ่มน้ำ ยังรวมตัวกันไม่ค่อยสนิท ซึ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าพลพรรคเพื่อไทยทำงานอย่างได้ผลในแง่ของการสร้างความปั่นป่วน โดยไม่ต้องไปสนใจในเนื้อหาสาระของการอภิปราย
ขณะที่เกมนอกสภาก็เดินมาอย่างเข้มข้นไม่แพ้กัน ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 มกราคม กลุ่ม “คนเสื้อแดง” นัดชุมนุมใหญ่ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล เป้าหมายหลักน่าจะต้องการดิสเครดิตรัฐบาล เพราะเป็นช่วงที่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเวทีผู้นำการเมือง-เศรษฐกิจระดับโลกที่เมืองดาวอส สวิสเซอร์แลนด์ เพื่อเรียกความเชื่อมั่น
เจอแบบนี้เข้าไป แทนที่จะได้เต็มร้อย ก็อาจต้องลดทอนลงบ้าง
หรือก่อนหน้านั้นก็ยังแยกเดินสายไปยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงสถานทูตในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 9 ประเทศ เรียกร้องไม่ให้เข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในปลายเดือนกุมภาพันธ์อีกด้วย
ประสานเข้ากันกับ “เครือข่าย” บรรดานักวิชาการ นักธุรกิจประเภท “เด็กในบ้าน” ที่ดาหน้าออกมาร่วมขย่มแบบไม่ยั้ง โผล่หน้าออกมาล่าสุดก็เห็นจะเป็น “โอฬาร ไชยประวัติ” นายแบงก์เก่าก่อนจะผันตัวเองมาเป็น “ลูกจ้าง” ตระกูล “ชินวัตร” กินเงินเดือนในตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยชินวัตร จนกระทั่งได้ดิบได้ดีถูกดันก้นมานั่งในตำแหน่งรองนายกฯสมัยรัฐบาล “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์
ร่วมด้วยช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์มาตรการ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจนน่าวิตกแบบ “ขนหัวลุก” ทำนายจีดีพีไทยปีนี้(2552)จะติดลบถึง 4.05 เปอร์เซ็นต์ เลวร้ายที่สุดในโลก ซ้ำเติมหนักหน่วงเข้าไปอีก
หรือ แม้กระทั่ง ทนง พิทยะ คนใกล้ชิดสายตรง “เสี่ยแม้ว” อดีต “ขุนคลัง” ในยุคหายนะค่าเงินบาท วิกฤติเศรษฐกิจปี 40 ก็ยังโผล่หน้าออกมาร่วมแจมด้วย
ขณะเดียวกันยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับบริษัทล็อบบี้ยิสต์ในต่างประเทศก็เริ่มทำงานอย่างแข็งขัน เพราะบังเอิญว่าในระยะไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมามีสื่อเทศหลายสำนักได้ประสานเสียงกันประโคมข่าวโจมตีทางการไทยอย่างผิดปกติ
ยกเอาเรื่องการผลักดันผู้หลบหนีเข้าเมืองชาว “โรฮิงยา” มากล่าวหากองทัพไทยว่ากระทำทารุณกรรม ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ทั้งที่ปัญหาดังกล่าวเรื้อรังมานานหลายสิบปี หรือกรณีบิดเบือนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เสมือนหนึ่งเป็น “ผู้ก่อการร้าย”
อย่างไรก็ดีเมื่อแกะรอยย้อนกลับไปก็พบว่าสื่อมวลชนต่างประเทศเหล่านี้มีบางคนถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับกลุ่มกุนซือเครือข่าย “หน้าเหลี่ยม” ทั้งสิ้น
เห็นได้ชัดก็คือกรณีของ “แซม มูน” เคยได้รับอุปโหลกเป็นผู้บริหารมูลนิธิ “สร้างอนาคตที่ดีกว่า” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเมื่อสืบค้นประวัติพบว่าคนๆนี้ยังเคยทำงานในเครือ “ดิ อีโคโนมิสต์” ที่ล่าสุดนิตยสารฉบับดังกล่าวถูก “แบน” ในประเทศไทย เนื่องจากมีเนื้อหาเข้าข่าย “หมิ่นเบื้องสูง” เป็นสถิติถูกแบนถึงสองฉบับติดต่อกัน
นี่ยังไม่นับถึงสื่อภายในบางกลุ่มที่รับลูกให้พื้นที่ข่าว ให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของ “เครือข่ายระบอบทักษิณ” กันอย่างเต็มที่ถึงขนาดมีบรรณาธิการบริหารบางคนในสื่อ “มีคุณภาพ” ถือ “ตีนตบ” ตบเท้าร่วมขบวนกับม็อบเสื้อแดงอย่างเปิดเผยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาอีกด้วย
หากเชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้นก็ย่อมมองเห็นภาพทันทีว่าการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทั้งหมดช่างบังเอิญสอดรับกันพอดี และต่างเปิดหน้าเปิดตัวออกมา ร่วมกันขับเคลื่อนอยู่ใน “ยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ และชนบทล้อมเมือง”
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลแม้ว่าก่อนหน้านี้ภาพภายนอกยังออกมาในลักษณะตั้งรับ แต่เมื่อมีความเคลื่อนไหวจากฝ่ายตรงข้ามหนักข้อขึ้นทุกวันก็เริ่มนั่งไม่ติด ต้องตีโต้ เห็นได้จากเดินเข้าไปในกระทรวงกลาโหมของ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง หารือ “พี่ใหญ่สีเขียว” ประวิตร วงศ์สุวรรณ มีผู้นำเหล่าทัพพร้อมหน้า เมื่อวานนี้(4 ก.พ.) ก็ไม่น่าธรรมดา
เพราะในวันศุกร์ที่ 6 ก.พ.จะมีการประชุม กตร.และคาดว่าจะมีรายการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และสันติบาล เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อจับอาการทั้งสองฝ่ายแล้วมาประมวลตั้งแต่ต้นก็พบว่าฝ่ายแรกคือ ทักษิณ ชินวัตร เริ่มถูกขีดวงให้เดินในวงจำกัดมากขึ้นทุกที ต้องเปิดเกมแลกได้เสีย เสี่ยงทุ่มหมดหน้าตักถึงขั้นประกาศ “ยอมตาย” มันก็น่ากลัวไม่น้อย แต่ถ้าพลาดงานนี้ก็มีสิทธิ์ได้อยู่ใน “นรก” ตามที่พูดจริงๆก็เป็นได้ !!