“สนธิ” ชี้ สงครามประชาชนเริ่มแล้ว ระหว่างฝ่ายที่ปกป้องสถาบันกษัตริย์ กับอีกฝ่ายที่ต้องการล้มล้างและทำเพื่อคนๆ เดียว แฉแผน “แม้ว” หวังกลับสู่อำนาจด้วยรัฐประหาร-แก้ รธน.แต่โดนพันธมิตรฯ ขวาง แถมโดน “อนุพงษ์” หักหลัง เดินเกมสลับขั้วดันลูกพี่ “ประวิตร” นั่ง รมว.กลาโหม หวังชักใย “อภิสิทธิ์” ภายหลัง แต่คิดผิด เพราะนายกฯ มีคุณธรรม จวก ผบ.ทบ.เฉยเมยต่อพวกหมิ่นเบื้องสูง ย้ำไม่มียุคไหนทหารอ่อนแอเท่ายุคนี้
คลิก! ฟังเสียง"สนธิ ลิ้มทองกุล"ปราศรัย==>
เวลา 21.30 น.ของวันที่ 31 ม.ค.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้กล่าวปราศรัยบนเวทีคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 2 ซึ่งจัดโดยพันธมิตรฯ ณ สนามกีฬาจังหวัดสระบุรี ว่า วันนี้สงครามประชาชนได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่ง คือ พวกเราที่ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กับฝ่ายที่ต้องการที่จะโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มี นายทักษิณ ชินวัตร อยู่เบื้องหลัง
“เราออกมาที่สระบุรี เราเสียเงินคนละ 200 บาท เพื่อบริจาคให้กับเอเอสทีวี และต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้องดีงาม แต่อีกฝ่ายที่ชุมนุมอยู่สนามหลวงที่ไม่เสียเงินแต่รับมาคนละ 500 บาท เพื่อมาชุมนุม ผิดกันกลับเราแน่นอน เพราะเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงยังคงต่อสู้เพื่อรักษาสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า สงครามได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะว่าในประวัติศาสตร์ไทยไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหน มีอำนาจและใช้อำนาจที่มากแบบผิด เท่านายทักษิณ ชินวัตร อีกแล้ว ซึ่งอะไรที่มันมากเกินไป อีกฝ่ายจึงต้องออกมาบอกว่ามันมากไปแล้ว และที่ต้องระเห็จไปอยู่ต่างประเทศ เพราะความไม่เคยพอของเขาเอง ซึ่งขณะนี้ความพยายามกลับมามีอำนาจยังไม่หมดสิ้นจึงได้ใช้แผนโลกล้อมประเทศ ทำการจ้างล็อบบี้ยิสต์ของสื่อต่างประเทศโจมตีประเทศไทยว่าตัวเองถูกรังแก รวมไปถึงการจ้างให้สื่ออย่าง นิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ พาดหัวว่า สถาบันอยู่เบื้องหลังของการเปลี่ยนแปลงทำให้เขาหมดอำนาจ และเที่ยวอ้างว่าประชาชนรักเหลือเกิน
นายสนธิ ยังได้กล่าวถึงการที่ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ทำการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 แล้วต่อมาประเทศไทยได้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า ระยะเวลากว่า 12 เดือน ระหว่าง กันยายน 49 ถึง ธันวาคม 50 เป็นเวรเป็นกรรมของประเทศไทย ที่ทั้ง 2 คนก่อความเลวร้ายให้แก่ประเทศชาติ เพราะไม่ยอมทำอะไร ถ้าเกิดสิ่งใดขึ้นมา 2 คนนั้นต้องรับผิดชอบ
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ทักษิณ ต้องการที่จะทำให้มีการเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งได้วางหมากไว้แล้ว และได้กล่าวอ้างตลอดว่ามาจากการเลือกตั้ง แล้วพอพรรคพลังประชาชนได้รับเสียงมากที่สุดจนได้จัดตั้งรัฐบาล เขาจึงเลือกที่จะให้ นายสมัคร สุนทรเวช ที่เป็นลูกเจ้าพระยา มาเพื่อพิสูจน์ว่า นายสมัคร เป็นเลือดสีน้ำเงิน พิสูจน์ถึงความอยู่ข้างสถาบันชาติ
“แต่แทนที่นายสมัครได้รับเลือกเข้ามาจะปกป้องสถาบัน กลับไปส่งเสริมคนอย่างนายจักรภพ คนอย่าง นายจตุพร คนอย่าง พ.อ.อภิวันท์ ที่ยกพวกไปบุกบ้าน พล.อ.เปรม ซึ่งแต่ละคนได้ดิบได้ดีเป็นถึงเสนาบดีกันถ้วนหน้า ทั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทั้งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่พวกนี้ไปถล่มบ้าน พลเอก เปรม ยังกล้าที่จะแต่งตั้งกันอย่างหน้าด้าน”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า วันแรกที่ นายสมัคร เป็นนายกฯ ตนก็ทนได้ จนต่อมาพฤติกรรมเริ่มโผล่ ทั้งที่อยู่ในตำแหน่งไม่ทันไรก็มีการย้าย นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่สอบสวนคดีโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอสซี แอสเซท รวมไปถึง พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ที่หลายต่อหลายคนเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์ ตนจึงตัดสินใจโทร.หาแกนนำทุกคนให้มาประชุมกัน และนั้นคือ จุดกำเนิดในการชุมนุมรอบใหม่ของเรา รวมไปถึงการชุมนุมใหญ่ที่หอประชุมธรรมศาสตร์ที่ได้จัดสัมมนาให้ความรู้การเมืองแก่ประชาชน รวมไปถึงยังได้ออกแถลงการณ์เตือนไป 4-5 ฉบับแล้ว เพื่อให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่และการต่อสู้จะเข้มข้นกว่าเก่า
ทั้งนี้ ตนอยากบอก นายทักษิณ ว่า การคาดการณ์ของเขาผิดหมด คิดว่า พันธมิตรฯ ตายหมดแล้ว ซึ่งเป็นการดูถูกจิตใจรักชาติของเรา พวกนั้นคิดว่าจับแกนนำเข้าคุกเสียทุกอย่างจะจบ ตอนทักษิณกลับมาประเทศไทยเพื่อรับฟังคดียังมีหน้ามากราบแผ่นดินคงคิดว่าตัวเองจะชนะแล้วแต่แล้วก็ถูกกระบวนการยุติธรรมพิพากษาให้ติดคุก 2 ปี
“ตัวเองผิดกฎหมายเองแท้ๆ คดีที่ดินรัชดาฯ ผิดกฎหมายของ ป.ป.ช. มาตรา 100 ที่ระบุว่า ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่สามารถให้คู่สมรสไปทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับรัฐ ทั้งที่กองทุนฟื้นฟูฯก็เป็นของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นของรัฐโดยตรง ผิดแน่ๆ ที่เป็นนายกฯ ดันมาอ้างไม่รู้กฎหมาย มันกลับมาบอกว่าแค่นี้ก็เอาผิดด้วย”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า นายทักษิณ พยายามที่จะทำการรัฐประหาร และรวมไปถึงแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะมีพันธมิตรฯ คอยชุมนุมคัดค้านอยู่ ตนอยากบอกว่า ทักษิณ รู้จัก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.น้อยไป ซึ่งเรื่องของ พลเอก อนุพงษ์ พันธมิตรฯ เท่านั้นที่รู้ดีที่สุด ซึ่ง พลเอก อนุพงษ์ มีแผนการที่จะพยายามให้มีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง เพื่อดันลูกพี่ตัวเอง คือ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็คิดผิดถนัด ที่คิดว่า จะสั่งการรัฐบาลได้ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะนายอภิสิทธิ์เป็นคนมีคุณธรรมจะสั่งได้ก็เพียง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เท่านั้น และนี้คือ ข้อเท็จจริงของสังคมไทยในวันนี้
นายสนธิ กล่าวอีกว่า นายทักษิณ เคยบอกว่า จะขออภัยโทษตอนแรก และต่อมาบอกว่ามีเพียงพลังของประชาชนเท่านั้น ที่จะนำพาเขากลับประเทศ จะมีใครเสียอีกก็ประชาชนเสื้อแดงของเขา ทีพวกเสื้อแดงนำนำสีไปสาดพระบรมฉายาลักษณ์ แต่ตำรวจที่อุดรธานี กลับเงียบเป็นเป่าสาก รวมไปถึงแก๊ง 3 หัวขวด ที่มีการนำคำว่า อภิสิทธิ์ชนมาไว้ใกล้ๆ พระบรมสาทิสลักษณ์ของทั้ง 2 พระองค์ พวกตำรวจทหารก็นิ่งเฉย ตนอยากบอกว่า นี้นะหรือคือทหารหาญตำรวจกล้าของไทย ทั้งหมดนี้หรือคือการแก้ปัญหาของทหารชื่อ อนุพงษ์ เผ่าจินดา ตนอยากบอกว่าไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีทหารที่อ่อนแอเท่ากลับยุคนี้อีกแล้ว
นายสนธิ กล่าวทิ้งท้ายว่า การเมืองใหม่ที่แท้จริงแล้ว คือ การเรียกคุณค่าเก่าๆ ดีงามของไทยให้กลับคืนมา ที่ต้องมีความเสียสละ ซื่อสัตย์ และกล้าหาญ ความดีงามกลับคืนมาให้ได้ และขอขอบคุณพี่น้องพันธมิตรที่ออกมาสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ของไทย และสู้เพื่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ของเราให้คงอยู่สืบต่อไป