การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ (22 ม.ค.)มีเหตุการณ์ที่แฟนการเมืองพลาดไม่ได้ คือศึกปะทะวาทกรรมทางการเมืองระหว่างเจ้าของฉายาขุนศึกฝั่งธนฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะตัวแทนหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กับนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ ์ เวชชาชีวะ นักเรียนนอกออกซ์ฟอร์ด
เป็นการเจอพบกันระหว่างความเชี่ยวกรากทางการเมือง กับความเข้มข้นทางวิชาการ อันไหนจะเป็นความได้เปรียบทางการเมือง ทั้งหมดนี้ต้องพิสูจน์กัน
เมื่อ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง เสนอกระทู้สด ซึ่งถือว่าเป็นไม้เด็ดที่สุดแล้วสำหรับพรรคเพื่อไทย เพราะปกติการเสนอกระทู้นั้นมักจะเป็นเรื่องของส.ส. เด็กๆที่อ่อนพรรษา เพราะจะเป็นการฝึกปรือวิทยายุทธ์ และวาทะกรรมทางการเมืองอย่างดี เว้นแต่ว่ากรณีที่คิดว่ากระทู้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญๆ และเป็นหมัดเด็ดที่จะน็อกคู่ต่อสู้ได้ และที่สำคัญอีกอย่างคือ ต้องเป็นกระทู้ที่ถามเพื่อให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ชี้แจงเท่านั้น
ในความรู้สึกของ พรรคเพื่อไทยแล้ว จุดที่เขาคิดว่าเป็นจุดอ่อนที่สุดของพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือการเป็น “รัฐบาลส้มหล่น” เพราะได้อำนาจรัฐมาจากการต่อสู้และสนับสนุนของกลุ่มพันธมิตรฯ
“เฉลิม” ซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่และในทางปฏิบัติเป็นเสมือนผู้นำฝ่ายค้านในสภา จึงต้องเป็นผู้ดำเนินการลงมือเสียเอง
และเป็นที่รับรู้กันดีว่า งานถนัดของ ร.ต.อ.เฉลิม การอภิปรายในสภาก็คือ การนำข้อมูลเชิงลึกมาแบล็กเมล์คู่ต่อสู้ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่คำกล่าวของ สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธ์มิตรฯ จึงถูกนำมาอ้างในครั้งนี้
เพราะ เฉลิม คิดว่าคำพูดของ “สนธิ” ที่ปรากฏบนเวทีพันธมิตรฯที่ จ. ชลบุรีจะสามารถนำ มาเป็นเนื้อหาในการแบล็กเมล์ และยังเป็นหลักฐานสำคัญที่จะมัดคอ “อภิสิทธิ์”
ว่าเป็นนอมินีของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้อย่างดิ้นหนีไม่หลุด
งานนี้จึงได้เห็นเกมการไล่ต้อนให้จนมุม เหมือนนิทาน หมาป่ากับลูกแกะ ระหว่างหมาป่าอย่าง “เฉลิม” ที่พยายามหาหนทางสารพัดวิธี ทั้งหยอด ทั้งยุ ทั้งข่มขู่สารพัด เพื่อให้ลูกแกะอย่าง “อภิสิทธิ์” ได้จนมุมก่อนที่จะขย้ำกินเป็นอาหาร ทำให้คอการเมืองหลายคนที่ชื่นชอบเกมการเมืองแนวซาดิสม์ อาจจะรู้สึกมันในอารมณ์กับลีลา และโวหาร ก็อาจจะสะใจ โดยไม่ต้องคาดหวังมากกับเนื้อหาสาระ
หมากของ“เฉลิม” ในครั้งนี้คือ พยายามวาดภาพให้สังคมเห็นถึงความเป็นนอมินีอย่างลึกซึ้งระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับ กลุ่มพันธมิตรฯ โดยยกเหตุที่แต่งตั้งคนอย่าง กษิต ภิรมย์ มานั่งเป็น รมว. ต่างประเทศ มาเป็นข้อกล่าวอ้าง อย่างน้อยๆ ก็หวังเก็บเกี่ยวกับรอยบาดหมางที่อาจจะเกิดขึ้นจากการปั่นให้แตกแยกกันของทั้งสองฝ่าย เห็นได้จากการพยายามจี้ให้ “อภิสิทธิ์” เปิดปากออกมาถึงความผิดของกลุ่มพันธมิตรฯ พร้อมกับบี้ให้เร่งดำเนินคดีต่างๆ
แม้การอภิปรายด้วยโวหารฉะฉานเป็นบทถนัดที่สุดสำหรับนักการเมืองอย่าง “เฉลิม” แต่ดูเหมือนสำหรับ “อภิสิทธิ์” แล้ว ณ วันนี้เมื่อยืนอยู่บนบัลลังก์เก้าอี้นายกฯด้วยกระแสสนับสนุนจากประชาชนและภาคเอกชน บวกกับความเชื่อมั่นในวาทะของความเป็นศิษย์เอก นักการเมืองใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง อย่าง ชวน หลีกภัย จึงไม่มีอาการสะทกสะท้านในการที่จะร่วมเล่นเกมนี้
หลายประเด็นที่ “เฉลิม” เล่นบทตีลูกมั่วนิ่ม อภิปรายออกมา แต่ไม่สามารถดึงให้ “อภิสิทธิ์” ตกหลุมพรางได้ แถมยังสบช่องตอกกลับจนหน้าเหวอ! ไปเลย แต่ก็ยังอาศัยความเก๋าทางเกมการเมืองไหลไปได้เรื่อย ๆ
งานนี้ไม่รู้ว่า “เฉลิม” จะเจ็บสีข้างไปแค่ไหน
เช่นประเด็นที่พยายามจะให้ มีการออกมาพูดว่า การปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรฯถือเป็นการก่อการร้ายสากลที่ถือว่าเป็นความผิดขั้นรุนแรง แต่ก็ถูกย้อน จาก “อภิสิทธิ์” กลับ ไปว่า “เป็นความคิดของท่าน (ร.ต.อ.เฉลิม ) คนเดียว”
โดยให้เหตุผลว่า เหตุการณ์การยึดสนามบินทั้งสองแห่ง เกิดขึ้นก่อนช่วงที่รัฐบาลชุดนี้จะมารับผิดชอบ และหน่วยงานที่ได้รับความเสียหายได้มีการแจ้งความไปแล้วในข้อหา “ร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการในเวลากลางคืน”
หรือจะเป็นเรื่องที่หยิบยกเอาการสั่งให้นายตำรวจรื้อฟื้นคดีสำคัญๆ โดยหวังอาศัยความเป็นนายตำรวจเก่า (ร้อยตำรวจเอก) สั่งสอนวิชากฎหมายให้กับนายกฯคนใหม่ว่า....ท่านนายกฯ ไม่รู้หรือว่า คดีอาญานั้นมันมีอายุความอยู่แล้ว 20 ปี ท่านไม่จำเป็นต้องไปสั่งให้เขารื้อฟื้นคดี อย่าทำอย่างนี้ มันน่าอาย...”
แต่ก็ไม่วายโดน กรีดกลับไปว่า ไม่ได้เป็นการสั่งให้รื้อฟื้นคดี เพียงแต่ให้นโยบายและสอบถามความคืบหน้าในคดีต่าง
“...ท่านกรุณาไปถามคนในรัฐบาลของท่าน ที่มีการเรียกนายตำรวจบางคนมาบอกว่า อย่าทำคดีนั้น อย่าทำคดีนี้ จนเป็นจุดที่มาของปัญหาในวันนี้ .....”
แค่ยกแรกก็ดุเด็ดเผ็ดมัน ได้ขนาดนี้ เชื่อว่ามวยคู่นี้ยังต้องเจอกันอีกหลายยก คงต้องติดตามดูกันต่อไป แต่ถ้าสิงห์จอมโวแห่งบางบอนใจเสาะถอยไปเสียก่อน ก็อดได้สะใจ!