หากเข้าถึงและเข้าใจ เชื่อว่าหลายครอบครัวคงจะพบว่า ความสุขในชีวิตทุกวันนี้อาจไม่ต้องการสิ่งเติมแต่งใด ๆ เพิ่มเติม แค่มีครอบครัวดี สามีภรรยาเข้าใจและให้เกียรติกัน ลูก ๆ เป็นเด็กดี น่ารัก รับผิดชอบการเรียน ญาติพี่น้องอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ก็น่าจะเพียงพอ เหมือนที่วันนี้ MGR Lite และ Life & Family มีโอกาสมาสัมภาษณ์ครอบครัวอบอุ่นอีกหนึ่งแห่งย่านพิบูลสงคราม ที่ซึ่งมีบ้าน (หรือควรจะเรียกว่าคฤหาสน์) 7 ชั้นตั้งอยู่ภายในพื้นที่เขียวครึ้ม และร่มเย็นไปด้วยแมกไม้ใหญ่น้อยนานาพันธุ์ แถมยังมีสุนัขตัวโตนับสิบคอยวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ที่นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นบ้านแห่งรักอีกหนึ่งหลังของ "คุณน้ำ - ปริษา ปานะนนท์" ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด อดีตดาราพิธีกร-นักแสดงมากฝีมือ และ "คุณสาม - ภูเดษ จันทรางกูร" รักษาการผู้อำนวยการฝ่าย ระดับ P10 บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) เจ้าของโปรเจ็คเด่นสะดุดตาอย่าง "MaxNet" และอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยคุณน้ำเล่าถึงที่มาของบ้านหลังนี้ว่า เกิดจากวิสัยทัศน์ของคุณพ่อที่มีลูกสาว 4 คน และไม่ต้องการให้ลูก ๆ ที่แต่งงานมีครอบครัวแล้วต้องย้ายออกไปสร้างครอบครัวให้ห่างไกลจากคุณพ่อคุณแม่ จึงเป็นที่มาของการสร้างบ้านหลังมหึมา 7 ชั้น พร้อมสระว่ายน้ำ และเรือนที่พักแม่บ้านอย่างเป็นสัดเป็นส่วน ให้ลูก ๆ สามารถสร้างครอบครัวของตนเองได้ในพื้นที่เดียวกันนั่นเอง
สำหรับชีวิตคู่ ทั้งคุณน้ำและคุณสาม ยอมรับว่ามีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันสุดขั้ว ระหว่างคุณสามหนุ่มนักเรียนนอก (ที่เจ้าตัวและคนรู้ใจยอมรับว่าเคยเป็นอดีตหัวโจกแบดบอยกันเลยทีเดียว) กับสาวสวยดีกรีเกียรตินิยมจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเพียบพร้อมทั้งความสามารถและมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงพ่วงท้าย ซึ่งก่อนจะมาพบรักและแต่งงานกันได้นั้น ต่างคนต่างมีโลกของตัวเองที่หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะได้พบเจอกัน โดยคุณน้ำเล่าย้อนความหลังไปถึงช่วงนั้นว่า
“ตอนเรียนหนังสือที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็มีงานถ่ายโฆษณาเข้ามาบ้าง แต่เหมือนงานอดิเรกมากกว่า เพราะไม่ได้เบียดเบียนเวลาเรียน และเมื่อจบมาแล้ว ก็ลองเข้ามาค้นหาตัวเองหน่อย ด้วยการทำงานในวงการบันเทิงอย่างจริง ๆ จัง ๆ ซึ่งยอมรับว่างานในวงการบันเทิงเป็นสิ่งที่รักมาก และทำให้เราได้เรียนรู้อะไรเยอะพอสมควร แต่พี่ก็ยังรู้สึกว่า เราควรจะเรียนต่อปริญญาโท ก็เลยไปเรียนที่ศศินทร์ ซึ่งยากมาก เจอบัญชีเกือบตาย (หัวเราะ) แต่ก็ผ่านมาได้ พอเรียนจบก็รู้สึกว่าต้องทำงานประจำ เพราะอุตส่าห์ไปเรียนมา เราก็อยากนำความรู้มาใช้ประโยชน์ ก็เลยเริ่มงานที่ยูทีวี (ชื่อในอดีตทรูวิชั่นส์) เป็นผู้จัดการดูแลรายการ 30 กว่าช่อง และได้พบกับพี่สามที่นี่ แล้วก็แต่งงานกันค่ะ”
“ช่วงนั้น ผมยอมรับเลยว่าผมเป็นเพลย์บอยนะ (หัวเราะ) ซึ่งเป็นช่วงที่ผมสำเร็จการศึกษากลับมาเมืองไทย และเริ่มเข้ามาทำงานที่ยูทีวีเช่นกัน แต่เมื่อผมได้เจอน้ำ ผมก็บอกตัวเองว่า ผู้หญิงคนนี้ใช่ ผมอยากมีลูก อยากมีครอบครัว ก็เลยตัดสินใจทิ้งความเสเพลทั้งหลาย และแต่งงาน ซึ่งทุกคนแปลกใจมากเพราะไม่คิดว่าผมจะแต่งงานเร็ว คิดว่าอายุ 30 กว่าถึงจะแต่ง แต่ผม 25 - 26 ก็แต่งแล้ว”
เมื่อต้องหลอมรวมเป็นครอบครัวเดียวกัน ทั้งสองคนยอมรับว่า สิ่งที่ยึดโยงความต่างเข้าด้วยกันได้ก็คือ ความไว้ใจ เชื่อใจ และให้เกียรติกัน ซึ่งเป็นพรจากท่านองคมนตรี พลเอกวิจิตร กุลละวณิชย์ ประธานในพิธีแต่งงาน
"ตอนพี่น้ำแต่งงาน ท่านองคมนตรี พลเอกวิจิตร กุลละวณิชย์ เป็นประธานในพิธี ซึ่งท่านได้อวยพรว่า ถ้าแต่งงานแล้วจะต้องมีความไว้ใจ เชื่อใจและให้เกียรติกัน เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากัน ซึ่งพี่ก็ยึดเป็นหลักในการดำเนินชีวิตมาตลอด ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีเหตุให้ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี โดยเฉพาะตอนนี้ เราสองคนมีวัตถุประสงค์หลักร่วมกันคือลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ศูนย์รวมจิตใจเราก็คือลูกค่ะ"
ฟังคุณแม่คนสวยเล่าถึงเคล็ดลับในการครองเรือนแล้ว หันมาฟังคุณพ่อสามเล่าถึงชีวิตคู่ที่ผ่านมากันบ้าง "ถ้าถามผมว่า ชีวิตคู่คืออะไร ชีวิตคู่ก็คือการที่คนสองคนรักกันและมาอยู่ร่วมกัน แต่แน่นอนว่าเรื่องผิดพลาดก็ต้องมีบ้าง แต่พอเราปรับตัวปรับใจได้ ให้อภัยกัน ในที่สุดมันก็เข้าใจกัน ลูกเท่านั้นที่เราใส่ใจกันมากกว่า ทุกวันนี้ น้ำเขาก็จะรับหน้าที่ไปรับ - ส่งลูกอยู่เสมอ แต่ผมจะถามน้ำตลอดว่า เขามีเวลาไหม ถ้าไม่ ผมสละได้" พร้อมยืนยันหนักแน่นว่า จะไม่ยอมให้ชีวิตครอบครัวต้องสูญเสียไปเพียงเพราะว่าพ่อและแม่มีหน้าที่การงานใหญ่โตเป็นอันขาด
เคล็ดลับแบ่งเวลา..รักษาความรัก
ในฐานะที่เป็นผู้บริหาร การแบ่งเวลาเพื่อครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน โดยคุณน้ำเล่าว่า นอกเหนือจากการไปรับไปส่งลูกแล้ว ก็จะพยายามหาเวลาอยู่ดูแลลูก ๆ เสมอในวันหยุดสุดสัปดาห์
"พี่น้ำเป็นแม่ที่ไม่ค่อยได้เรื่อง ไปส่งลูกก็แค่ดรอปลูกลงที่หน้าโรงเรียน แต่เห็นคุณแม่คนอื่น ๆ ที่เขาเข้าไปคุยกับครู ก็รู้สึกเหมือนกันค่ะว่า ทำไมชั้นไม่ทุ่มเทขนาดนั้น (หัวเราะ) แต่ว่าเราก็ทำในสิ่งที่เราทำได้ เวลาที่เรามีร่วมกันก็พยายามส่งเสริมเขาในสิ่งดี ๆ เช่น พาเขาไปวัด ไปทำบุญตักบาตร ก็คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ชีวิตลูกในระยะยาว”
"ลูก ๆ ก็มีเรียนพิเศษบ้างค่ะ พาไปเรียนภาษาอังกฤษ เรียนแบดมินตัน เรียนว่ายน้ำ นอกจากนั้นก็ไปเดินช้อปปิ้งกันบ้าง หรือถ้าว่างก็ไปต่างจังหวัดกัน ครอบครัวเราจะมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วอยากไปเที่ยวก็ไปกันเลย เรียกได้ว่าเก็บของเสร็จใน 10 นาที จุดหมายก็มีไปทะเลบ้าง ไปหาอะไรอร่อย ๆ ทานบ้าง"
เมื่อถามว่าเลี้ยงลูกเหนื่อยไหม ผู้บริหารสาวสวยตอบทันทีว่า ไม่เลย (แต่มีข้อยกเว้นอยู่ช่วงเดียวเท่านั้นก็คือ ช่วงสอนการบ้าน)
“เวลาพี่น้ำสอนการบ้านจะใช้พลังเยอะหน่อย (หัวเราะ) ขนาดเราบอกว่าลูกไม่ต้องเรียนเก่งก็ได้ แต่เวลาสอนการบ้าน เราจะแบบ...ทำไมทำไม่ได้อ่ะ (เสียงสูง) ด้วยความที่พี่อาจจะเป็นคนเรียนดีมาก่อน ก็เลยจะมีหงุดหงิดกันบ้าง ซึ่งพี่สามเขาก็จะคอยบอกให้ใจเย็น”
พอถึงจุดนี้คุณพ่อสามอธิบายเสริมว่า “เพราะคุณตาคุณยายเลี้ยงลูกได้ดีมาก ๆ ลูกสาวสี่คนได้ดิบได้ดีทุกคน เรียนเก่งทุกคน เข้าจุฬาฯ ได้ทุกคน ลูก ๆ เรา ก็เลยอยากเรียนเก่งเหมือนคุณแม่ ซึ่งตรงข้ามกับผมเลย ผมเรียนแค่จบ แค่เอาเกรดเรียนต่อปริญญาโทได้ แต่เมื่อต้องปรับใช้กับลูก น้ำเขาจะเข้ม ส่วนผมก็จะอ่อน คอยดึง ๆ กัน แต่ผมกับน้ำก็มองไปที่จุดเดียวกันคือ ลูกไม่ต้องเรียนเก่ง หรือต้องจบมหาวิทยาลัยท็อปเท็น ท็อปไฟว์ของโลกหรอก ขอให้เขามีความสุขกับการที่เขาได้เรียน นั่นคือสิ่งที่ผมกับน้ำต้องการแล้ว”
แผนการศึกษาของลูก
สำหรับเรื่องของการศึกษา ครอบครัว “ปานะนนท์ – จันทรางกูร” เห็นพ้องกันว่า ควรเป็นที่ที่อบอุ่นและปลอดภัย นอกเหนือจากให้การศึกษาที่ดีมีคุณภาพ
“พี่น้ำจบจากโรงเรียนราชินีมา ก็อยากให้ลูกเรียนโรงเรียนที่เราจบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามีลูกสาวด้วย เราก็ต้องเป็นห่วง อยากให้ลูกเรียนในที่ที่อบอุ่น ปลอดภัย แต่ติดปัญหาเรื่องการเดินทาง และคุณพ่อ (คุณตา) จะยึดหลักว่าโรงเรียนต้องใกล้บ้าน จะได้เดินทางสะดวก ก็เลยมีโรงเรียนราชินีบน ซึ่งก็เหมือนโรงเรียนพี่โรงเรียนน้องกัน”
ด้านคุณพ่อสามเล่าด้วยว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างการ (เริ่มต้น) ปรึกษากันถึงเรื่องการส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศ “กะให้ลูกโตอีกหน่อย ถ้ามีปัญญาก็จะส่งไปเรียนเมืองนอก (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ก็ไม่ได้แพงมาก พอจะจ่ายได้ ซึ่งอาจเป็นช่วงปริญญาตรี หรือหลังจากจบปริญญาตรีในเมืองไทยแล้ว”
วางอนาคตครอบครัว
หากเอ่ยถึงความมั่นคงของครอบครัวของคุณน้ำและคุณสามอาจกล่าวได้ว่ามาถึงจุดสูงสุด และมีความพร้อมอย่างมากแล้ว แต่สิ่งที่ครอบครัวยังยึดหลักเอาไว้ก็คือ การทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
“พี่น้ำจะยึดหลักทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็จะดีเอง ส่วนเรื่องลูก ถ้าเรามอบการศึกษาที่ดีให้แก่เขา อนาคตของเขาก็ย่อมที่จะดีด้วย รวมถึงการศึกษาธรรมะที่พี่พยายามใส่ให้เขา ก็อาจช่วยให้เขาเผชิญกับโลกภายนอกได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่สังคมเรากลัว ๆ กันอยู่ พวกยาเสพติด การติดเกม การพนัน แต่ถ้าเราสร้างปัจจุบันให้ดี อนาคตก็น่าจะดีตามค่ะ ส่วนตัวก็จะพยายามรักษาครอบครัวให้อยู่ไปได้ตลอด มีความมั่นคง พอแก่ตัวแล้วไม่ลำบากลูก”
“ผมเองก็ไม่ต่างกับน้ำ อยากเห็นลูกได้ดี เราเชื่อว่าเราเองก็สร้างรากฐานไว้ให้ลูกแล้ว คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายก็ให้ไว้แล้ว ส่วนตัวผมกับน้ำ ก็รักษาความรักและทุกอย่างไว้ให้นานที่สุด สิ่งที่ผิดพลาดก็อย่าไปทำมันอีก ที่สำคัญความเข้าใจ ความเชื่อถือ ความไว้วางใจ ผมให้น้ำเขาเต็มร้อย และน้ำเขาก็ให้ผมเต็มร้อยเช่นกัน” พร้อมกันนี้ คุณสามยังได้ฝากข้อคิดถึงทุกคู่รักที่กำลังจะสร้างครอบครัวด้วยว่า
“ฝากข้อคิดถึงทุกคู่เลย ให้รักกันบนพื้นฐานของความเป็นจริง เข้าใจกันให้มากที่สุด พยายามเป็นตัวตนของตัวเองให้มากที่สุดก่อนที่จะแต่งงาน ไม่ใช่ความรักทำให้คนตาบอด ส่วนพี่กับพี่น้ำที่แต่งงานกันมาขนาดนี้แล้ว อยากจะบอกไว้ว่า ให้อยู่กับความเป็นจริงให้มากที่สุด กับพี่น้ำเขาก็ยังเหมือนเดิม ผมยอมรับเลยว่า น้ำเป็นแม่ที่ดีมากคนหนึ่ง แล้วก็เป็นลูกน้องที่ดีมาก ๆ ของนายด้วย ทำงานก็เก่ง เขาค่อนข้างจะทุ่มเท ชีวิตนี้ได้แต่งงานกับเขาก็เป็นเรื่องที่โชคดี ยิ่งแก่ตัวลง ความรู้สึกเราก็ยิ่งรักเขา ปกป้องเขา เป็นพ่อที่ดีของลูก เป็นสามีที่ดีให้มากกว่าเดิม”
“สำหรับพี่น้ำ ความสุขในชีวิตก็คือ พยายามมีสติอยู่กับปัจจุบัน เวลาทำงานก็มีความสุขกับงาน กลับบ้านก็มีความสุขกับลูกกับครอบครัว วันธรรมดาก็กลับมากินข้าวกับคุณพ่อ พี่น้ำโชคดีที่แต่งงาน แล้วสามีแต่งเข้า ลูกทุกคนแต่งเข้าหมด มาอยู่ในบ้านที่คุณพ่อสร้างไว้ให้ พี่น้องสี่คนสี่สาวมีลูกมีหลานอยู่ในบ้าน เป็นครอบครัวใหญ่ค่ะ”