“วัชระ เพชรทอง” ส.ส.ประชาธิปัตย์ เหลืออดพฤติกรรมปากพล่อยของ “จตุพร” จวกยับเป็นพวกอึ่งอ่างในกะลา ใช้ปากสร้างความปั่นป่วนให้สังคมตามใบสั่งนาย แจง “อภิสิทธิ์” นั่งเก้าอี้ถวายงานในหลวง เป็นธรรมเนียมปกติ “สมัคร” ก็เคยทำ แฉ “จตุพร” คิดแต่จะกล่าวหานายกหนีทหาร จนลืมดูตัวเองว่า ทั้งหนีทหาร หนีเมียมา 3 คน ล่าสุดหนีลูกสาวอายุ 8 ขวบ! ไล่เปลี่ยนชื่อแซ่เป็น “จตุรพิษ พันธุ์ทักษิณ”
วันนี้ (14 ม.ค.) นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กับผู้จัดการออนไลน์ ถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน สมาชิกพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกระทำการไม่มิบังควร โดยการนั่งเก้าอี้ในระดับเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างเข้าเฝ้าฯ ถวายงานนั้น
นายวัชระ กล่าวว่า สำหรับเรื่องดังกล่าวนั้นได้มีภาพหลักฐานปรากฏอย่างชัดเจนแล้วว่าการเข้าเฝ้าฯ ของนายกรัฐมนตรีหลายคน รวมถึงนายสมัคร สุนทรเวช ก็เคยมีการนั่งในลักษณะเช่นนั้นมาแล้ว ดังนั้น เรื่องดังกล่าวไม่สมควรนำมาใช้โจมตีกันเพื่อหวังผลทางการเมืองเช่นนี้
ส่วนกรณีที่นายจตุพรอ้างว่าจะนำเรื่องดังกล่าวหยิบยกขึ้นมาตีแผ่ให้เหมือนเมื่อคราวที่กลุ่มพันธมิตรฯ เคยกล่าวโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไปทำบุญประเทศที่วัดพระแก้วนั้น นายวัชระ กล่าวว่า เหตุการณ์ทั้งสองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนั้น เป็นการเข้าไปนั่งบริเวณซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัว อย่างไม่เคยมีใครเคยกระทำมาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่มิบังควรเป็นอย่างยิ่ง แต่ในกรณีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้นเป็นการนั่งที่เก้าอี้ซึ่งทางสำนักพระราชวังจัดไว้ให้สำหรับผู้เข้าเฝ้าฯ นั่ง ไม่ใช่การไปนั่งบริเวณที่ประทับอย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำ
“การกระทำของนายจตุพรเห็นได้ชัดว่า นายจตุพรไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอยู่แล้ว เหมือนเป็นคางคกที่อยู่ในกะลาครอบของระบอบทักษิณ ย่อมไม่รู้จักคุณค่าและความจงรักภักดี ก่อนที่นายจตุพร จะมากล่าวหานายกเช่นนี้ ควรตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาของตนเองเสียก่อนว่ามีเลือดสีน้ำเงินเพียงใด และที่ผ่านมาคนรอบข้างรวมถึงนายใหญ่ และนายอ้วน ซึ่งเป็นลูกพี่ของนายจตุพรมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากน้อยเพียงใด คนทั้งสังคมก็ได้เห็นอย่างแจ่มชัดอยู่แล้ว นายจตุพรจึงไม่ต่างจากเด็กวัดที่ชอบกินเหล้าเคล้าไวน์ ผิดศีลข้อ 3 อยู่เป็นนิจ แล้วจู่ๆ จะมาบอกให้ญาติโยมที่มาทำบุญช่วยกันตั้งนะโม 3 จบ ก็ย่อมไม่มีใครให้ความเชื่อถือแม้แต่น้อย”
นายวัชระ กล่าวต่อไปว่า ในฐานะที่ตนเป็นรุ่นพี่ของนายจตุพรที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นคนที่ให้การสนับสนุนนายจตุพร ซึ่งแต่ก่อนเป็นเพียงเด็กวัดจนๆ ในทุกด้าน ยามไม่มีเงินก็เลี้ยงข้าว ยามอยากรู้อะไรก็คอยสอนคอยแนะนำ เรียกได้ว่าตนคือคนที่ฝึกให้นายจตุพรใช้ไม้กวาดเก่าๆ แทนไมค์เพื่อฝึกเป็นนักพูดมาจนถึงวันนี้ ซึ่งก็ไม่คิดเลยว่าความรู้ที่ตนได้แนะนำให้ก่อนนั้น ในวันนี้จะถูกนายจตุพรเอามาใช้เป็นเครื่องมือและกระบอกเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการด่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจนสังคมไทยต้องวุ่นวายถึงเพียงนี้ ในฐานะเพื่อนเก่าคนหนึ่งก็ได้แต่ขอร้องนายจตุพรว่าให้หยุดกระทำการใดๆ ที่เป็นการทำร้ายสังคมและประเทศชาติเสียที เพราะหากขืนยังทำต่อ นายจตุพรอาจจะไม่มีแผ่นดินอยู่เหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นได้
“ที่ผ่านมานายจตุพรเปรียบเสมือนกับเด็กเลี้ยงแกะแห่งทุ่งหัวหมาก ที่หลอกลวงผู้คนไปทั่วจนไม่มีใครเชื่อถือ ซึ่งแม้แต่เรื่องการจบปริญญาตรีมาได้อย่างไรก็ยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัยว่านายจตุพรจบปริญญาตรีมาด้วยความสามารถของตัวเองหรือไม่ หรือใช้อภิสิทธิ์ใดจึงได้ใบปริญญามาลงสมัคร ส.ส. เรื่องนี้นายจตุพรต้องตอบให้ได้ก่อน หรือถ้ากล้าผมก็ท้าเลยว่าให้นายจตุพร เอากระดาษคำตอบวิชาภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยรามคำแหงมาให้สังคมดู หรือมาทดสอบความรู้เลยก็ได้ จะได้รู้ว่าตกลงแล้ว นายจตุพรมีความรู้จนสามารถสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้หรือไม่”
นายวัชระ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายจตุพรมักหยิบยกเรื่องการเกณฑ์ทหารของนายกรัฐมนตรี มาโจมตีบ่อยครั้งด้วยว่า ทุกคนในพรรคประชาธิปัตย์ไม่อยากตอบโต้กรณีดังกล่าวอีกแล้ว เพราะได้ชี้แจงไปหลายครั้งแล้วว่านายอภิสิทธิ์ได้ผ่านการเกณฑ์ทหารอย่างถูกต้องแล้วโดยใช้ความสามารถในการเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ แต่นายจตุพรก็ยังไม่หยุดโจมตี ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วตนมองว่าการที่จะขอให้นายจตุพรหยุดกล่าวหาหรือโจมตีนายกรัฐมนตรีอย่างไม่มีเหตุผลเสียทีนั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะหากนายจตุพรหยุด เงินที่จะส่งมาจากท่อน้ำเลี้ยงก็คงหยุดไปด้วย ดังนั้น การหวังให้นายจตุพรหยุดจึงเป็นไปได้ยาก ที่ทำได้ก็น่าจะเป็นเพียงการขอให้ก่อนที่นายจตุพรจะกล่าวหาอะไรใครก็ขอให้ไปสำรวจตัวเองก่อนว่าตัวเองทำตัวดีแล้วหรือยัง
“คงต้องถามย้อนกลับไปยังนายจตุพรว่า แล้วตัวนายจตุพรเองหนีทหารหรือไม่ และไม่ใช่แค่หนีทหารนะ นายจตุพรหนีภรรยาคนที่ 1, 2 และ 3 หรือไม่ แล้วก็ไม่ใช่แค่ภรรยานะ ลูกสาวที่อายุ 8 ขวบของนายจตุพรล่ะ นายจตุพรได้หนีเขามาโดยไม่รับผิดชอบน่ะเป็นความจริงหรือไม่ นายจตุพรควรจะออกมาชี้แจงเรื่องนี้ด้วย”
ในช่วงท้ายนายวัชระได้กล่าวอีกว่า อยากเตือนสติให้นายจตุพรเลิกการกระทำที่ไม่ดีอย่างที่เป็นอยู่เหล่านี้เสียที เพราะเพียงเท่านี้คนบ้านเดียวกับนายจตุพรก็เอือมระอากับพฤติกรรมของนายจตุพรเต็มทีแล้ว แต่ก็ต้องถามนายจตุพรด้วยว่ายังกล้ากลับไปบ้านเกิดของตัวเองหรือไม่
“ผมอยากท้านายจตุพรว่า ถ้าแน่จริงกล้ากลับไปที่บ้านเกิดที่จังหวัดนครศรีธรรมราช หรือสุราษฎร์ธานีหรือไม่ เพราะจตุพรได้สร้างความเสื่อมเสียให้แก่พี่น้องชาวปักษ์ใต้อย่างยิ่ง และขณะนี้พี่น้องตระกูลพรหมพันธุ์ ก็ไม่นับนายจตุพรว่าเป็นคนในตระกูลอีกต่อไปแล้ว ซึ่งผมก็ขอเสนอให้นายจตุพรเปลี่ยนนามสกุลจากพรหมพันธุ์ ไปเป็นพันธุ์ทักษิณ เสียเลยจะดีกว่าจะได้ไม่ต้องเสื่อมเสียวงศ์สกุล ส่วนชื่อก็เปลี่ยนเสียด้วยให้เป็นจตุรพิษแทน อันนี้น่าจะเหมาะกว่า” นายวัชระ กล่าว