“สาทิตย์” แจงตั้งที่ปรึกษา-เลขารัฐมนตรี ดูตามคุณสมัติ ปัดให้โควตาพันมิตรฯ ขอฟังเสียงสะท้อน พร้อมชี้แจงทุกตำแหน่งที่ถูกวิจารณ์ เหน็บ “ตุ๊ดตู่” ไม่เคยสั่งปิดวิทยุชุมชน แย้มกำลังหาช่องทางดำเนินการอยู่
วันนี้ (13 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการแต่งตั้งที่ปรึกษาและเลขานุการรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ ซึ่งมีรายชื่อของนายประพันธ์ คูณมี แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า การตั้งคนเพื่อเป็นที่ปรีกษาและเลขารัฐมนตรีนั้นต้องพิจารณาสองส่วน คือ 1.คุณสมบัติว่าเหมาะสมรับตำแหน่งหรือไม่ 2.ต้องดูว่าคนนั้นเคยช่วยงานของพรรคมาในช่วงระยะเวลาเหมาะสมเพียงใด อย่างไรก็ตาม ต้องฟังเสียงประชาชนข้างนอกด้วยว่า หากมีเสียงวิจารณ์รัฐบาลก็ต้องชี้แจง ถ้าชี้แจงได้ก็สามารถตั้งได้ แต่ถ้าตำแหน่งใดถูกวิจารณ์แล้วไม่สามารถชี้แจงได้คงต้องพิจารณาความเหมาะสมต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลมีนโยบายสร้างความสมานฉันท์ในชาติ แต่การตั้งคนของพันธมิตรฯจะเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ต้องดูคุณสมบัติคนเหล่านั้นและใช้เหตุผลที่จะพิจารณา เช่น หากเป็นแกนนำพันธมิตรฯ อย่างเดียว แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์เลยคงจะอธิบายยาก แต่หากเป็นอดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคแล้วมีคุณสมบัติที่ทำได้ก็ต้องใช้เหตุผลในการพิจารณา ซึ่งต้องพิจารณาอย่างละเอียดพอสมควร ทั้งนี้ ได้คุยกันในระดับแกนนำและผู้ใหญ่ของพรรคหลายคนว่าเรื่องนี้ต้องฟังสังคมข้างนอกด้วย
เมื่อถามว่าจะมีการเปรียบเทียบกับสมัยของรัฐบาลนายสมัครและนายสมชายที่มีการตั้ง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งเป็นแกนนำของ นปช. นายสาทิตย์ กล่าวว่า จริงๆ แล้วเราไม่อยากใช้วิธีการเดียวกันแต่เรื่องของการเปรียบเทียบ ตนคิดว่าสังคมภายนอกรับรู้ว่าสภาพเช่นไรเกิดขึ้นก่อน รัฐบาลยืนยันหลักการที่อธิบายต่อสังคมว่าทำไมคนนั้นได้มาดำรงตำแหน่งนั้นๆ
ต่อข้อถามว่า แต่เรื่องการปิดสนามบินขณะนี้อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ทำไมถึงมีการเร่งรัดการแต่งตั้งแกนนำพันธมิตรฯ เข้ามา นายสาทิตย์ กล่าวว่า ไม่ได้มีการเร่งรัดอย่างไรเป็นเรื่องปกติ ที่ผ่านมากระทรวงต่างๆ ได้แต่งตั้งเสร็จไปหมดแล้ว และหลายรัฐบาลการประชุม ครม.นัดแรกจะมีการแต่งตั้งไปเลย แต่รัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ได้มีการพิจารณามาเป็นลำดับ ส่วนกรณีคดีความต่างๆยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้เข้าแทรกแซงให้เกิดผลกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งฝั่งพันธมิตรฯ และ นปช.ให้มีการดำเนินคดีอย่างเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย
ต่อข้อถามว่า แรงบีบที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลเกร็งกับการแต่งตั้งคนของพันธมิตรหรือไม่เพราะถ้าตั้งก็จะเกิดแรงเสียดทาน แต่ถ้าไม่ตั้งก็จะถูกโดดเดี่ยวจากประชาชน นายสาทิตย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า รัฐบาลนี้เข้ามาท่ามกลางความคาดหวัง ซึ่งการดำเนินการต่างๆ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้กำชับว่าให้ฟังเสียงข้างนอกด้วย แต่ขึ้นอยู่ว่าเสียงวิจารณ์นั้นมีเหตุผลเพียงใดคงต้องพิจารณาเหตุผลมากกกว่าใช้ความรู้สึกว่าคนอื่นทำได้เราก็ทำได้
ต่อข้อถามว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทยอ้างว่า รัฐบาลได้มีการปิดวิทยุชุมชนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายสาทิตย์ กล่าวว่า ตนทราบดีว่าอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลวิทยุชุมชนมีมากน้อยแค่ไหน ที่ผ่านมาตนยังไม่เคยสั่งปิดเลย แต่ยอมรับว่าวิทยุชุมุนมมีปัญหามาก สภาพขณะนี้เป็นสภาพอนาธิปไตยที่มีปัญหากันอยู่ ทั้งนี้ กฎหมายประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์เป็นอำนาจของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. ดูแลร่วมกับอนุกรรรมการ เท่าที่ทราบขณะนี้อนุกรรมการเองก็มีปัญหามาก เพราะมีการทำผิดกฎหมายหลายส่วน ตนได้ประสานไปยัง กทช.เพื่อดูว่ามีหลักเกณฑ์ดำเนินการอย่างไร และกำลังให้กฤษฎีกาดูข้อกฎหมายว่า หน่วยงานที่สามารถดำเนินการตามกฎหมายต่างๆ ได้นั้นสามารถดำเนินการได้เช่นไร เพราะวิทยุชุมชนทั้งหมดว่า 5,000 แห่งนั้นมีไม่กี่ที่เท่านั้นที่เป็นปัญหา ซึ่งได้มีการเตือนไปแล้ว แต่ยังไม่มีการปรับปรุงแก้ไข คงต้องดูว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไปดำเนินการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นผลอย่างไร เพราะหากปล่อยไปสภาพเช่นนั้นจะกระทบต่อสังคม โดยรวมและคนที่ทำดีอยู่แล้วด้วย
ต่อข้อถามที่ว่า กฎหมายที่ระบุสามารถนำไปใช้ดำเนินการปิดวิทยุชุมชนนั้นๆ ได้หรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม ซึ่งคนทำวิทยุชุมชนต้องขออนุญาต กทช.นั้นสามารถดำเนินการตรวจยึดเครื่องได้เลย