อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
นับวัน “ม็อบเสื้อแดง” ของ “นปช.” จะก่อความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ภาพล่าสุดที่ปรากฏต่อสายตาสาธารณชนที่หน้ารัฐสภาเมื่อวานนี้ (15 ธ.ค.) คงไม่ต้องอธิบายว่า “ป่าเถื่อน” เพียงใด และครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะที่ผ่านมา ม็อบเสื้อแดงทั้ง ใน กทม.และต่างจังหวัด ได้โชว์ “ความอำมหิต” มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายไปแล้วหลายราย และไม่ใช่เพียงแนวร่วมพันธมิตรฯ เท่านั้น ที่ถูกม็อบเสื้อแดงของ นปช.กระทำอย่างโหดเหี้ยม แม้แต่เจ้าหน้าที่ศาล กลุ่มคนเสื้อแดงก็ยังไม่ละเว้น ...เราควรจะเรียกผู้ที่โหด-อำมหิต-ป่าเถื่อนเช่นนี้ว่าอะไรดี
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
ดูเหมือนพฤติกรรมถ่อย-เถื่อน ใช้ความรุนแรงจะติดแน่นอยู่ในกมลสันดานของเหล่าม็อบเสื้อแดงผู้จงรักภักดีต่อนายใหญ่ “ทักษิณ” และ “พรรคเพื่อไทย” ไปแล้ว เพราะการรุมทำร้าย ส.ส.ที่ออกมาจากการประชุมสภาหลังเลือกนายกฯ คนใหม่เมื่อวานนี้ (15 ธ.ค.) จนได้รับบาดเจ็บไปหลายคน แถมรถเสียหายอีกไม่ต่ำกว่า 30 คันนั้น ไม่ใช่ครั้งแรกของม็อบเสื้อแดงที่ใช้ “กำลังและอาวุธ” ยุติปัญหาด้วยการทำร้ายฝ่ายที่ตนเกลียดชัง
ไม่เชื่อ ลองมาไล่เรียงกันดูอีกสักครั้ง คงยังจำกันได้ เหตุการณ์ม็อบเสื้อแดงที่ จ.บุรีรัมย์ กว่า 500 คน ใช้อาวุธทั้งก้อนหิน-ท่อนเหล็ก และระเบิดพลาสติกปาใส่ด่านตำรวจ แล้วฝ่าเข้าไปพังเวทีของพันธมิตรฯ ที่บุรีรัมย์เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2551 ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและพันธมิตรฯ บาดเจ็บไปหลายราย
ส่วนที่ จ.อุดรธานี ที่มีนายขวัญชัย ไพรพนาแกนนำกลุ่มคนรักอุดรฯ เป็นตัวหลักในการปลุกระดมผู้คนผ่านวิทยุชุมชนให้รักทักษิณต้านพันธมิตรฯ ก็จับมือรวมหัวกับนายอุทัย แสนแก้ว น้องชาย นายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส.อุดรธานี พรรคพลังประชาชน ในขณะนั้น นำม็อบกลุ่มคนรักอุดรฯ กว่า 700 คน ที่มีอาวุธพร้อมทั้งไม้และเหล็ก ออกจากที่ตั้งของตนบริเวณสนามทุ่งศรีเมือง หน้าศาลากลางจังหวัดอุดรฯ ฝ่าด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจ บุกไปตีพันธมิตรฯ อุดรฯ ที่เตรียมตั้งเวทีปราศรัยภายในหนองประจักษ์ศิลปาคม เทศบาลนครอุดรฯ ทันทีที่ฝ่าด่านตำรวจได้ ม็อบกลุ่มนี้ก็รุมทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างบ้าคลั่ง พันธมิตรฯ บางคนที่หนีไม่พ้นได้ถูกรุมตีและกระทืบที่ลำตัวและศีรษะ บางคนถึงกับสลบแน่นิ่งต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ และแม้จะมีรถฉุกเฉินเข้ามารับคนเจ็บ แต่ม็อบกลุ่มนี้ก็ยังถ่อยไม่เลิก โดยได้เข้าทุกกระจกรถจนแตก ไม่เท่านั้นยังรื้อทำลายและเผาเวทีของพันธมิตรจนย่อยยับ ก่อนแยกย้ายกันหนีไป เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ชาวบ้านแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรได้รับบาดเจ็บกว่า 15 ราย มีทั้งหญิงและชาย 2 รายอาการสาหัส (คนหนึ่งกะโหลกร้าว อีกคนสมองได้รับความกระทบกระเทือนอาเจียนเป็นเลือด)
หลังพันธมิตรฯ และนักวิชาการ 145 คน จากหลายสถาบัน (เช่น นายจรัส สุวรรณมาลา, นายวรศักดิ์ มหัทธโนบล, นายไชยันต์ ไชยพร ฯลฯ) ออกแถลงการณ์ประณามพฤติกรรมป่าเถื่อนอำมหิตของม็อบรักทักษิณดังกล่าว รวมทั้งการเพิกเฉยของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาความสงบเรียบร้อยในวันนั้น ส่งผลให้ตำรวจอุดรฯ อยู่เฉยไม่ได้ จึงต้องดำเนินคดี นายขวัญชัย และนายอุทัย แต่ก็ตั้งข้อหาอย่างเบาแค่ 2 ข้อหา คือ 1.เป็นหัวหน้าหรือผู้นำในการสั่งการให้มีการมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป 2.เป็นผู้ประกาศให้ผู้เข้าร่วมชุมนุม ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายให้เกิดการต่อสู้กันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ทำให้มีผู้ได้รับอันตรายและเกิดการชุลมุน ขณะที่หลายฝ่ายมองว่า ข้อหาของหัวโจก 2 คนนี้น่าจะเป็นข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนามากกว่า ซึ่ง นายขวัญชัย ได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับก่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาว่า ตนได้พูดเชิญชวนให้มีการทำร้ายแกนนำพันธมิตรฯ จริง โดย นายขวัญชัย บอกว่า “ที่บอกว่า หากใครสามารถตี นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ แกนนำพันธมิตรฯอุดรธานี จะได้ 1 หมื่น และตี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้รับ 2 หมื่นนั้น ยอมรับได้พูดจริง ไม่ขอปฏิเสธ” คงต้องถามเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า นายขวัญชัยยอมรับขนาดนี้แล้ว ยังไม่เข้าข่าย “จ้างวานฆ่า” อีกหรือ?
เหตุการณ์ที่บุรีรัมย์ และอุดรธานี เป็นแค่ตัวอย่างความรุนแรงที่เกิดจากม็อบเสื้อแดงหรือม็อบรักทักษิณที่กระทำกับพันธมิตรฯ ในต่างจังหวัดเมื่อเดือน ก.ค.เท่านั้น ขณะที่ม็อบเสื้อแดงในส่วนกลางที่นอกจากมีแกนนำ นปช.เป็นตัวหลักแล้ว ยังมีรัฐบาลพรรคพลังประชาชนเป็นตัวหนุนหลัง ก็ได้นำม็อบจากสนามหลวงมาบุกพันธมิตรฯ ถึงที่ตั้งบริเวณสะพานมัฆวาน เมื่อวันที่ 2 ก.ย.จนเกิดการปะทะกัน ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 43 ราย และเสียชีวิต 1 ราย โดยระหว่างการปะทะ นอกจากมี ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนหลายคนไปร่วมสังเกตการณ์บริเวณใกล้ๆ รถปราศรัยของ นปช.แล้ว ยังมีทหารอย่าง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ออกมายอมรับว่า ได้ร่วมเดินกับ นปช.จากสนามหลวงไปบุกพันธมิตรฯ จริง เท่านั้นยังไม่ฉาวพอ เสธ.แดง ยังโดดลงมาฝึกอาวุธให้การ์ด นปช.โดยเรียกว่า “นักรบพระเจ้าตาก” ด้วย ซึ่ง เสธ.แดง ได้ยอมรับในเวลาต่อมา ว่า นอกจากฝึกอาวุธพื้นฐานให้นักรบพระเจ้าตากแล้ว ยังฝึกวิธีขว้างระเบิดให้ด้วย แถมยังบอกว่า ไม่แปลกถ้านักรบเหล่านั้นจะออกไปปฏิบัติจริงในที่ต่างๆ ซึ่งก็สอดรับกับที่ เสธ.แดง ได้ออกมาขู่ว่าจะมีระเบิดใส่พันธมิตรฯ แบบรายวันที่ทำเนียบรัฐบาล เพราะได้มีมือมืดทั้งปาระเบิดและยิงระเบิดใส่พันธมิตรฯ แทบไม่เว้นแต่ละวัน ส่งผลให้พันธมิตรฯ บาดเจ็บและเสียชีวิตด้วยอาวุธสงครามชนิดสังหารไปหลายราย โดยที่ตำรวจจับมือใครดมไม่ได้แม้แต่รายเดียว!
นอกจากผลงานความรุนแรงของม็อบเสื้อแดงบวกกับทหารที่ชื่อ “แดง” แล้ว สังคมยังได้เห็นความป่าเถื่อนของม็อบเสื้อแดงที่ จ.เชียงใหม่ บ้านเกิดนายใหญ่ทักษิณ และนางเยาวภา ภริยานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตหัวหน้าพรรคพลังประชาชน อีกเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า กลุ่มเสื้อแดงที่ชอบแสดงพลังเอาใจนายใหญ่ที่เชียงใหม่ ก็คือ “กลุ่มรักเชียงใหม่ 51”ที่มีแกนนำอย่างนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล ผู้ที่เคยปราศรัยบนเวที นปช.ที่สนามหลวงเมื่อวันที่ 14 ต.ค.ด้วยท่วงทำนองที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นสถาบัน เพราะปราศรัยว่า “คนเชียงใหม่นับถือแค่กษัตริย์ 3 องค์เท่านั้น คือ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์(พญาเม็งราย พญางำเมือง และพ่อขุนรามคำแหง) ไปกรุงเทพฯ ก็ไปสักการะเฉพาะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเท่านั้น ส่วนอย่างอื่นอยู่ในอุ้ง...คนเชียงใหม่หมด” แม้จะมีคนแจ้งความดำเนินคดีนายเพชรวรรตฐานหมิ่นสถาบัน แต่ดูเหมือนว่าตำรวจเชียงใหม่จะยืนยันว่า ไม่หมิ่นแต่อย่างใด
ไม่เพียงแกนนำเสื้อแดงกลุ่มเชียงรักเชียงใหม่ 51 จะพูดกระทบกระแทกสถาบัน (คล้ายๆ พฤติกรรมของนายใหญ่) แต่คนกลุ่มนี้ยังควงอาวุธทั้งไม้-เหล็ก-ปืน-ระเบิดไปปิดล้อมบ้านพักของแกนนำกลุ่มทหารเสือพระราชา นายเทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา เจ้าของสถานีวิทยุ “วิหคเรดิโอ” ใน จ.เชียงใหม่ด้วยเมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา จากนั้นก็ระดมอาวุธที่มีถล่มกลุ่มทหารเสือพระราชาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สมาชิกทหารเสือพระราชาบาดเจ็บ 2 ราย คนหนึ่งหัวแตก ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิง ถูกยิงด้วยปืน .38 ที่ไหล่ขวา
เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจ พอนายเศรษฐา เจียมกิจวัฒนา บิดา นายเทอดศักดิ์ ขับรถกระบะกลับมาเพื่อจะเข้าบ้านพัก กลับถูกกลุ่มรักเชียงใหม่ 2551 ปิดล้อมใช้ไม้และเหล็กรุมทุบรถ จากนั้นก็ลากตัวนายเศรษฐาลงมาซ้อม แล้วใช้มีดแทงลำคอและฟันแขนเกือบขาด ก่อนยิงเสียชีวิต พฤติกรรมของกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ไม่เพียงถูกรุมประณามถึงความป่าเถื่อน แต่ยังฉายแววอำมหิตไม่ผิดกับการล้อมปราบเข่นฆ่านักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519
และยิ่งได้รู้ว่า เบื้องหลังการที่กลุ่มทหารเสือพระราชาถูกรุมทำร้ายจนบาดเจ็บและเสียชีวิตครั้งนี้ เป็นเพราะตำรวจเชียงใหม่ไม่ได้เหลียวแล แต่กลับเอากำลังไปดูแล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ที่สนามบินเชียงใหม่แทนแล้ว ความเจ็บช้ำยิ่งทับถมทวีคูณ โดย พล.ต.ต.สุเทพ เดชรักษา ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ยอมรับเองว่า สาเหตุที่ไม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาเสริมกำลังที่หมู่บ้านระมิงค์นิเวศน์(ที่พักและสถานีวิทยุของแกนนำทหารเสือพระราชา) เพราะได้สั่งตำรวจให้ไปดูแลบริเวณสนามบินเชียงใหม่ เพื่อดูแลนายกฯ สมชายที่จะมาลงเครื่องบินที่นั่น อยากรู้จริงๆ ว่า นายสมชายจะต้องรับผิดชอบอย่างไรถึงจะสาสมกับที่ตัวเองเป็นสาเหตุสำคัญให้คนคนหนึ่งต้องเสียชีวิตอย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้?
ไม่เพียงคนเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 2551 จะรุมทำร้ายบิดาแกนนำกลุ่มทหารเสือพระราชาเสียชีวิต แต่คนกลุ่มนี้ยังได้รุมทำร้ายเจ้าหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ 2 คนที่สนามบินเชียงใหม่ในวันเดียวกัน (26 พ.ย.) ด้วย โดยวันดังกล่าว นายวินัย ใจดี และนายสมพร ทองปานดี เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ขับรถตู้ไปสนามบินเชียงใหม่ เพื่อรับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่รถก็เขียนบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญ แต่กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่ปิดล้อมสนามบินเพื่อรอรับนายสมชาย กลับลากเจ้าหน้าที่ทั้งสองลงมารุมทำร้าย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ศาลทั้งสองได้รับบาดเจ็บศีรษะแตกและแขนหัก!
จากความป่าเถื่อนของม็อบเสื้อแดงที่ต่างจังหวัด คราวนี้กลับมาที่ส่วนกลางอีกครั้ง(เหมือนกับต้องการแข่งขันว่าใครจะเลวได้ใจกว่ากัน) เพราะล่าสุดเมื่อวานนี้ (15 ธ.ค.) ม็อบเสื้อแดงแนวร่วม นปช.ได้ไปปิดล้อมรัฐสภาในวันโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ ปรากฏว่า หลังทราบผลว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นนายกฯ คนที่ 27 ม็อบเสื้อแดงก็เกิดอาการแสลงใจทนไม่ได้ขึ้นมาทันที จากนั้นก็ทำราวกับสวมวิญญาณสัตว์นรกด้วยการงัดอิฐตัวหนอนที่ปูพื้นถนนทุ่มเข้าใส่รถของ ส.ส.ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลที่ขับออกมาจากสภา ไม่เพียงส่งผลให้รถยนต์เสียหายไป 30 กว่าคัน แต่ยังทำให้ ส.ส.บางคนได้รับบาดเจ็บจากอิฐที่ขว้างเข้าใส่ด้วย(เช่น นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ ,นายไชยยศ จิรเมธากร ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อแผ่นดิน ฯลฯ)
นอกจากงัดสิ่งของรอบกายเป็นอาวุธเพื่อทำร้ายคนอื่นแล้ว ม็อบเสื้อแดงบางคนยังนำอาวุธมาเอง ทั้งไม้-เหล็ก-มีด-น้ำกรด-น้ำมันก๊าดหรือเบนซินไม่ทราบได้ สาดใส่รถ ส.ส.กะจะเผาให้ตายหมู่กันเลยทีเดียว โดยนายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เล่าให้ฟังว่า ช่วงที่ออกมาจากรัฐสภาโดยรถตู้ของ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ และมี ส.ส.นั่งมาในรถทั้งหมด 10 คน ปรากฏว่า ถูกคนเสื้อแดงปาอิฐตัวหนอนเข้ามาด้านหน้ารถประมาณ 10 ก้อน ทำให้กระจกแตก และหินก้อนหนึ่งถูก นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี ได้รับบาดเจ็บบริเวณแขน จากนั้นก็มีขวดน้ำมันไม่รู้ว่าเป็นน้ำมันเบนซินหรือน้ำมันก๊าดขว้างเข้ามาในรถ เลอะตัวนายบรรจบ รุ่งโรจน์ ส.ส.ชลบุรี และเมื่อมองออกไปนอกรถ เห็นม็อบเสื้อแดงบางคนกำลังจะจุดไฟ จึงรีบให้คนขับรถบึ่งออกจากบริเวณนั้นทันที จึงรอดปลอดภัย ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าจะต้องเลือกตั้งซ่อม ส.ส.10 คนหรือเปล่า
นี่ยังไม่รวมกรณีที่ม็อบเสื้อแดงในบางจังหวัดปาระเบิดเอ็ม 26 ซึ่งเป็นระเบิดชนิดสังหารใส่บ้าน ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคเพื่อไทยหรือพรรคพลังประชาชนเดิม เพื่อข่มขู่คุกคามไม่ให้เปลี่ยนขั้วมาจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล
วันนี้ แกนนำ นปช.ประกาศแล้วว่า จะไม่หยุดง่ายๆ จะประท้วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ต่อไป ซึ่งจะว่าไปก็เป็นสิทธิเสรีภาพที่จะชุมนุมอย่างสงบ เพียงแต่ม็อบเสื้อแดงของ นปช.ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดเป็นพวกที่เหมือน “ปากว่าตาขยิบ” เพราะสงบไม่ค่อยเป็น ถนัดแต่ใช้กำลังและอาวุธประหัตประหารผู้ที่ตนไม่พอใจมากกว่า แต่ถ้ายังไม่หยุดพฤติกรรมเยี่ยงนี้ แล้วถูกดำเนินคดีขึ้นมาวันใด อย่ามาอ้างว่า เจ้าหน้าที่ 2 มาตรฐาน เลือกจัดการม็อบเสื้อแดงฝ่ายเดียวก็แล้วกัน เพราะเห็นๆ อยู่ว่า พันธมิตรฯ ไม่เคยทำร้ายใครแบบ นปช.หรือม็อบเสื้อแดงแน่(เว้นแต่ถูกทำร้ายก่อน)!!