“สนธิ” จัดรายการพิเศษยกย่องเชิดชูวีรบุรุษ-วีรสตรี ผู้เสียสละต่อสู้กับอำนาจรัฐอันป่าเถื่อน เพื่อพิทักษ์ปกป้องรัฐธรรมนูญ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกัน ปรับผังรายการเอเอสทีวี ย้ายกิจกรรมชุมนุมไปไว้ในจอโทรทัศน์ จากเช้ายันดึก พิเศษ! ละครสะท้อนการต่อสู้โดย"ตั้ว-ศรัณยู"
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล จัดรายการพิเศษ
วันนี้ (3 ธ.ค.) เมื่อเวลา 20.45 น.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดรายการพิเศษในห้องส่งภายในสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี เป็นครั้งแรกหลังยุติการชุมนุมของพันธมิตรฯอย่างยาวนานเป็นเวลา 193 วัน โดยเขาได้กล่าวยกย่องในความเสียสละของพี่น้องที่ร่วมกันต่อสู้ด้วยพลังศรัทธาและความเชื่ออันยิ่งใหญ่ แม้จะเกิดความสูญเสียชีวิตไปเกือบ 10 คน และได้รับบาดเจ็บกว่าครึ่งพัน
อย่างไรก็ตาม นายสนธิ ย้ำว่า การสูญเสียดังกล่าวถือว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ และจะไม่มีวันลืม ว่า พี่น้องเหล่านี้ได้ต่อสู้ด้วยหลักสันติ อหิงสา แต่ถูกอำนาจรัฐใช้ความป่าเถื่อนเข้าปราบปราม ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งทำให้มีกำลังใจในการต่อสู้ต่อไป และการต่อสู้ครั้งนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบ เปลี่ยนพื้นที่มาจัดรายการกันภายในสถานีเอเอสทีวีเท่านั้นเอง
นายสนธิ ย้ำว่า หลักการในต่อสู้ของพันธมิตรฯได้บรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เพื่อให้พรรคพวกของตัวเองพ้นผิดได้สำเร็จ และว่า หากไม่มีการต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯมาอย่างยาวนานถึง 193 วัน ก็จะไม่มีวันที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญได้พิพากษายุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย เพราะจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ให้ยุบพรรคเสียก่อน
นายสนธิ กล่าวอีกว่า จากการต่อสู้ด้วยความเสียสละดังกล่าว ทำให้ฝ่ายรัฐบาลไม่กล้าใช้สภาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกต่อไป ซึ่งการสูญเสียของวีรชนที่ผ่านมา ถือว่าได้ทำบุญให้กับแผ่นดิน และคนกลายเป็นว่าคนที่ออกมาปกป้องรัฐธรรมนูญด้วยชีวิตกลายเป็นพี่น้องที่ไม่มีเครื่องแบบ เป็นคนธรรมดาเท่านั้น
“คนเหล่านี้มีบุญคุณต่อชาติบ้านเมือง ที่ไม่อาจเอ่ยคำใดมายกย่องได้ พวกเขาล้วนเป็นวีรสตรีและวีรบุรุษ อย่างแท้จริง เราสู้เพื่อชาติ ราชบัลลังก์ สู้เพื่อพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ และราชวงศ์จักรี อย่างไม่กลัวตาย เพราะเลือดในตัวเรามีทั้งสีแดง คือ ชาติ สีขาว คือ ศาสนา และสีน้ำเงิน คือ พระมหากษัตริย์” นายสนธิ ระบุ
นายสนธิ กล่าวว่า แม้รูปแบบการต่อสู้ต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่เพื่อไม่ให้พี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน และมีความเคยชินกับบรรยากาศการปราศรัย การชุมนุมมาตลอด ทำให้เราต้องจำลองเหตุการณ์มาไว้ในห้องส่ง เช่น จะมีการปรับผังรายการของเอเอสทีวีให้สอดคล้องกัน เช่น ในช่วงเช้าจะมีการรายงานข่าวสารมีสาระแบบแหวกแนวของ คุณอัญชลี ไพรีรัก ถัดมาก็เป็นการดำเนินรายการโดย นายสำราญ รอดเพชร จากนั้นก็จะเป็นรายการที่ดำเนินรายการโดย นายบัณฑิต ปิ่นมงคลกุล จนถึงเที่ยง ส่วนในช่วงบ่ายก็จะเป็นรายการวิเคราะห์ของ นายเติมศักดิ์ จารุปราน
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ในช่วงตอนค่ำ ก็มีแกนนำพันธมิตรฯมาร่วมรายการ มาร่วมสนทนาปราศรัยให้ความรู้ทุกวัน ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ ก็จะเป็นในลักษณะวาไรตี้ปะปนไปด้วย
“นอกจากนี้ เอเอสทีวีจะมีละครเป็นครั้งแรก ที่ผลิตรายการโดย คุณตั้ว ศรัญญู วงศ์กระจ่าง จะเป็นละครที่ไม่ใช่ละครน้ำเน่า แต่เป็นละครที่สะท้อนความจริง ความเชื่อมั่นศรัทธา ซึ่งเอเอสทีวี กำลังก้าวไปอีกขั้น เป็นทีวีของพี่น้องพันธมิตรฯเพื่อโยงใยกันทั่วประเทศ” นายสนธิ ระบุ
ในตอนท้าย นายสนธิ ได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับพ่อแม่และญาติพี่น้องของผู้สูญเสียจากการต่อสู้ในครั้งนี้ และเรียกร้องให้พี่น้องทุกคนรวมตัวเอาไว้ การต่อสู้ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการต่อสู้ที่ชนะเกือบเด็ดขาดต่อระบอบทักษิณ ซึ่งเชื่อว่า จะล่มสลายภายในเดือนธันวาคมนี้ และย้ำว่า สาเหตุที่เราสลายการชุมนุมในครั้งนี้ เพราะเราเคารพในกระบวนการยุติธรรมที่ได้ตัดสินคดียุบพรรค รวมทั้งเราได้บรรลุเป้าหมายแล้ว
คำต่อคำนายสนธิปราศรัย
“สวัสดีครับท่านพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ท่านพ่อแม่พี่น้องที่ขณะนี้กำลังชมรายการนี้อยู่ที่งานศพของน้องโบว์ ที่วัดโสมฯ ท่านผู้ชมที่กำลังชมเอเอสทีวีอยู่ที่บ้านทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทย หรือต่างประเทศ วันนี้ เป็นวันที่ค่อนข้างจะไม่ค่อยเคยชินครับพ่อแม่พี่น้อง 193 วัน ที่ไม่ได้มายืนในห้องส่งแห่งนี้ มันเป็น 193 วันของการถ่ายทอดสด และการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างเข้มข้น และดุเดือด เข้มข้น ก็คือ ความมุ่งมั่น ความเชื่อมั่น และศรัทธา ในสิ่งที่พวกเรา พ่อแม่พี่น้องชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะทำเพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อชาติ พระมหากษัตริย์ และพระราชบัลลังก์ แล้วก็ดุเดือด ดุเดือดตรงที่ว่า เมื่อเราต่อสู้ด้วยความสันติอหิงสาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเรายึดมั่นในสันติ ในความเป็นอหิงสา แต่ว่าเราก็ถูกทำร้ายทำลายตลอดเวลา จากผู้ที่มีอำนาจรัฐ โดยที่ใช้อำนาจรัฐ แล้วก็ให้เจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนสนับสนุนกุ๊ยและอันธพาล มาทำร้ายและทำลายพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 7 ตุลาคม หรือไม่ว่าจะเป็นการยิงระเบิดใส่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนกระทั่งมีการเสียชีวิตเกือบ 10 ศพ พิการมากหลาย และบาดเจ็บอีกกว่าครึ่งพัน
ทั้งหมดนี้ เป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ กระผมในฐานะที่เป็นหนึ่งในแกนนำ เศร้า โศก สลด และนึกไม่ถึงว่าชาติบ้านเมืองจะป่าเถื่อน ไร้ซึ่งกฎหมาย แต่ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้เท่าไร ยิ่งมีกำลังใจที่เข้มแข็ง ที่จะต่อสู้ เพราะว่า เมื่อเราสู้ไปแล้ว เราสู้เพื่อให้สิ่งที่ดีงามเกิดขึ้น เพื่อให้แนวความคิดทางความป่าเถื่อนหมดสิ้นไป
พี่น้องครับ วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะพลิกผันจากเวทีที่เราเคยยืนกลางแจ้ง เข้ามายืนในห้องส่ง การต่อสู้ก็จะต่อสู้กันต่อไป เพียงเปลี่ยนพื้นที่ เปลี่ยนสถานที่เท่านั้นเอง
พี่น้องครับ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ได้ต่อสู้บนหลักการ 3 ข้อ ข้อแรกคือ เราสู้มา เราเริ่มมา เราเริ่มด้วยการต่อสู้ เพื่อไม่ให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับพุทธศักราช 2550 ที่เราสู้เพราะเรารู้ว่าเขาจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อที่จะให้พวกเขาพ้นผิด 193 วันที่ต่อสู้มาครั้งนี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดว่า หากไม่มีพวกเราพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้ว วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่มีวันที่จะอ่านคำพิพากษาได้ เพราะเขาต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 นั่นก็คือ ยกเลิกการพิพากษาการยุบพรรคไป เพราะฉะนั้นแล้ววัตถุประสงค์นี้ เราได้บรรลุวัตถุประสงค์ พี่น้องต้องภูมิใจ ต้องภูมิใจว่า เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถจะทำหน้าที่อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง เป็นกติกา ที่สังคมทุกภาคส่วนต้องยอมรับนั้น ที่เขาทำได้เพราะ พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาร่วมแรงร่วมใจกันทั่วประเทศ และที่สำคัญที่สุด การปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม อันเป็นผลให้ลูกหลานเรา และพี่น้องเราบางคนเสียชีวิต บาดเจ็บอีกเกือบครึ่งพัน และพิการอีกหลายคนนั้น จุดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เขาไม่กล้าที่จะใช้สภาเข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญอีก เพราะฉะนั้นดวงวิญญาณของน้องโบว์ ตลอดจนสารวัตรจ๊าบนั้น และน้องโบว์อีกคนหนึ่ง และอีกหลายๆ คน จงรู้ไว้ด้วยว่า เขาได้ช่วยชาติช่วยแผ่นดิน เขาได้ทำบุญให้แผ่นดิน เหมือนท่าน พล.ต.จำลอง พูดว่า เรามาชุมนุมนั้น เรามาทำบุญ ทำบุญให้แผ่นดิน
พี่น้องครับ วันนี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้สู้ชนะแล้ว 1 ข้อ ทำเพื่อชาติ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่พวกเรา เราเป็นประชาชนธรรมดา ทั้งๆที่หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ผู้ซึ่งจะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนซึ่งได้ให้สัตย์ปฏิญาณว่า จะปกป้องรัฐธรรมนูญด้วยชีวิต แต่กลายเป็นคนซึ่งไม่มีตำแหน่ง คนที่ไม่มีเครื่องแบบอย่างพ่อแม่ พี่น้อง กลายเป็นคนอย่างน้อยโบว์ กลายเป็นคนอย่างสารวัตรจ๊าบ กลายเป็นคนอย่างน้องโบว์อีกคน ซึ่งนอนสงบอยู่ที่วัดโสม กลายเป็นคุณเจนกิจ ซึ่ง ได้เสียชีวิตไปแล้ว กลายเป็นน้องยุทธพงศ์ กลายเป็นอีกหลายต่อหลายคน
พี่น้องครับ คุณงามความดี คนที่เสียชีวิตไปนั้น มีบุญคุณกับชาติบ้านเมือง อย่างชนิดที่เรียกว่าไม่สามารถพูดได้ ญาติพี่น้องเขา ตระกูลเขา ต้องมีความภูมิในในสิ่งนี้ เพราะวันหนึ่งในประวัติศาสตร์จะชี้ให้เห็นว่า พวกนี้ที่แท้จริงแล้วคือ วีรสตรีและวีรบุรุษ เป็นวีรชนของประเทศไทยจริงๆ
วันนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เข้ามาเพื่อที่จะนำความรู้ นำปัญญา สื่อไปให้พ่อแม่ พี่น้องทางโทรทัศน์เอเอสทีวีเหมือนเดิม
พี่น้องครับ ข้อที่ 2 ที่เราต่อสู้มา คือเราต่อสู้เพื่อให้เกิดการเมืองใหม่
ข้อที่ 3 ที่เราสู้มา ถึงแม้เราไม่ได้ระบุลงไปในแถลงการณ์ แต่เป็นที่เข้าใจกันว่า หากไม่มีซึ่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้ว กระบวนการล้มล้างราชบัลลังก์ สถาบันกษัตริย์ จะไม่หยุดยั้งหรือจะไม่ถดถอยเหมือนวันนี้ เพราะเราเป็นผู้ที่ออกมา แล้วสู้ในเรื่องนี้ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ และราชวงศ์จักรี ด้วยเหตุอันนี้ เราสู้อย่างไม่ถดถอย เราสู้อย่างไม่กลัวตาย และเราสู้อย่างมีความเชื่อมั่น ว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ว่า ชาตินั้น ประกอบด้วย ศาสนาและพระมหากษัตริย์ หากสถาบันกษัตริย์อ่อนแอแล้วศาสนาก็อ่อนแอ และเราก็จะไม่มีชาติอยู่
พี่น้องจำได้ใช่ไหมครับว่า วันสุดท้ายที่สนามบินสุวรรณภูมิ ที่ผมได้พูดให้พี่น้องฟัง ผมพูดว่ายังไง ผมบอกว่า เลือดเรานั้นเป็นสีแดงเข้มข้นแต่ไม่ใช่สีแดงแบบ นปช. สีแดงของเราคือ ชาติ เราเอาธรรมนำหน้าในการต่อสู้ นั่นคือ ศาสนา และเราเทิดทูนสีน้ำเงิน คือพระมหากษัตริย์ เพราะฉะนั้นตัวเราทั้งตัวคือ แดง ขาว น้ำเงิน นั่นก็คือ ธงไตรรงค์ และชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นั่นคือสิ่งที่เราสู้ครับ
พี่น้องครับ พี่น้องหลายคนอาจจะเคยชินว่า ตื่นมาตอนเช้าก็เปิดโทรทัศน์ก็จะเห็นรายการข่าวจัดโดย คุณอัญชลี ไพรีรัก จัดโดย น้องเก๋ กมลพร วรกุล และต่อมาด้วย คุณสำราญ รอดเพชร ต่อมาเรื่อยๆ ถึง คุณบัณฑิต ต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งตกค่ำ ก็จะมีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วงดนตรีตั้ว เสก ซูซู วงดนตรีแฮมเมอร์ วงดนตรีหลายๆ วงดนตรี พี่น้องครับ พี่น้องยังจะได้รับความเคยชินเช่นนี้อยู่เหมือนเดิม ผมเห็นใจว่า ตกเย็นพี่น้องอาจจะรู้สึกหงุดหงิด ว่า เอ๊ะวันนี้ไม่มีที่ไปหรอ วันนี้เคยไปทำเนียบ มาทุกวัน วันนี้ตื่นมาตอนเย็นไม่รู้จะทำยังไง หรือว่าตกเย็นแล้วไม่รู้จะไปไหน พี่น้องครับ เราจะจำลองเหตุการณ์ที่ประท้วงข้างนอกเข้ามาสู่ห้องส่ง นับตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป หรือพรุ่งนี้ถ้าทำได้ทัน เมื่อพี่น้องตื่นเช้าแล้วเปิด ASTV ตอน 7 โมงเช้า พี่น้องจะได้พบกับ คุณอัญชลี ไพรีรัก และ น้องเก๋ กมลพร วรกุล 7 โมงเช้าถึง 9 โมงเช้า 9 โมงเช้าต่อจากนั้นถึง 11 โมงเช้า ก็จะเป็นคุณสำราญ รอดเพชร พร้อมกับนักพูดฝีปากกล้า มานั่งวิเคราะห์ข่าว ตอนเช้าฟังการวิเคราะห์เหน็บแนมของคุณอัญชลี อย่างดุเดือดเผ็ดมันและชวนฮา 9 โมงถึง 11 โมง ได้รับการฟังการวิเคราะห์ข่าวของคุณสำราญ รอดเพชร ซึ่งจะประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น คุณประพันธ์ คูณมี ท่านทูตสุรพงษ์ ชัยนาม ท่านทูตกษิต ภิรมย์ และหลายต่อหลายท่าน 11 โมงถึงเที่ยงจะเป็นการฉายเดี่ยวของ คุณบัณฑิต นะครับ หรือคุณต๋องของผม พิธีกรปากกล้า หลังจากเที่ยงมีการประกาศข่าว หรือว่าอ่านข่าวรอบเที่ยงแล้ว บ่ายโมงเป็นต้นไปจนถึง 4 โมงเย็น จะเป็นรายการของคุณหมี ยุทธยง และ คุณปุ้ย วศมล ช่างปรีชา คู่หูคู่ฮา บนเวทีพันธมิตรฯช่วงบ่าย 4 โมงเย็นต่อไปจนถึง 6 โมงเย็น เป็นรายการ News Hour นำโดย คุณเติมศักดิ์ จารุปาน พิธีกรที่เด็ดขาด ลึกซึ้ง พิธีกรที่เด็ดขาด ลึกซึ้ง พูนเพียบด้วยปัญญา และสติ และควบคู่กับ เก๋ อุษณีย์ เอกอุษณีย์
ต่อจากนั้นไป จะเป็นรายการ อาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และต่อด้วยข่าวราชสำนัก หมดจากข่าวราชสำนัก ประมาณ 3 ทุ่ม หรือ 2 ทุ่มครึ่ง ก็จะเป็นรายการ พบกับพันธมิตรฯ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เหมือนกับที่ทำเนียบ ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรผิดเลย เพียงแต่ว่า การพบแกนนำนี้ วันนี้เราจะพาแกนนำทั้ง 2 รุ่นมา ยกเว้นบางคน ซึ่งขณะนี้ ติดภารกิจที่งานศพ เพื่อมาแนะนำตัวก่อน หลังจากนั้น ทุกๆ วัน จะมีแกนนำอย่างน้อย 1 คน เข้ามาร่วมสนทนา ผู้ให้การสนทนาก็อาจประกอบด้วย คุณแอน จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ คุณแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ และอาจเป็น คุณอุษณีย์ เอกอุษณีย์ หลายๆ ท่านเข้ามาร่วม และขณะเดียวกัน แกนนำท่านอาจจะเชิญแขกผู้มีเกียรติบางท่านขึ้นมา และสนทนาให้ความรู้กัน จะเป็นเช่นนี้ไป วันจันทร์จนถึงวันอาทิตย์ไม่ขาด ยกเว้น เสาร์ อาทิตย์ ตอนบ่าย ตอนบ่ายนั้น วันเสาร์และอาทิตย์ จะเป็นรายการวาไรตี้ พี่น้องจำวงดนตรีต่างๆ จำ วง แฮมเมอร์ จำ วง เสก ซูซู จำวง คีตานชาลี วงโฮป จำลำตัดได้ไหม จำการฟ้อนรำที่สวยงาม เราจะเอานี่มาจัดเป็นรูปร่างและมาเสนอให้พี่น้องดูในวันเสาร์ตอนบ่าย และวันอาทิตย์ตอนบ่าย ต่อจากนั้น ตั้ว ของเรา ศรัญยู วงศ์กระจ่าง ก็จะมีรายการของ ศรัญยู วงศ์กระจ่าง ให้พวกเราชม ในวันเสาร์และวันอาทิตย์วันละ 1 ชั่วโมง
พี่น้องครับ ที่ทีเด็ดกว่านั้น พี่น้องจะเริ่มเห็นละครเป็นครั้งแรกในเอเอสทีวี ละครนี้จะออกในวันเสาร์และวันอาทิตย์ วันละชั่วโมง ผู้ผลิต ผู้กำกับการแสดง และผู้ดำเนินการทุกอย่าง คือ คุณตั้ว ศรัญยู วงศ์กระจ่าง จะเป็นละครสะท้อนความจริงในสังคมไทย จะเป็นละครสะท้อนการต่อสู้ ของพ่อแม่ พี่น้อง จะเป็นละครที่ฉีกแนวออกจากละครน้ำเน่าของทุกๆ ช่อง จะเป็นละครที่ให้สาระ จะเป็นละครที่ให้อุดมการณ์ จะเป็นละครที่เน้นเรื่องศรัทธา เน้นเรื่องความเชื่อมั่น และเน้นในเรื่องความเพียรที่จะทำความดีให้กับสังคมไทย
พี่น้องไม่ต้องกังวลคุณภาพการผลิต ดาราที่แสดง ถ้าดาราคนไหนที่มีชื่ออยากมาแสดง เราจะให้ แต่ถ้าดาราคนไหนกลัว ไม่เป็นไร พี่ตั้วของเรารับปากว่า จะสร้างดาราใหม่ขึ้นมา การสร้างละครเป็นเงินที่ต้องใช้เยอะ พี่ตั้วบอก พี่สนธิจะเอาเงินมาจากไหน บอกไม่ต้องห่วง ทำไปก่อนเถอะแล้วเงินมันจะมา สปอนเซอร์มันจะมา จะเป็นละครเรื่องเดียว และเจ้าเดียวในประเทศไทยที่จะมีคนโทรศัพท์มาบริจาคสมทบทุนการสร้างละคร
พี่น้องจะเห็นได้ชัดว่า ASTV ได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว พี่น้อง ASTV วันนี้ไม่ใช่โทรทัศน์ฟรีทีวีผ่านดาวเทียมอีกต่อไปแล้ว แต่ ASTV นั้นเป็นฟรีทีวีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เป็นเจ้าของ พี่น้องครับ เพราะฉะนั้นแล้วพี่น้องออกมาสู้ครั้งนี้ ASTV เป็นหัวหอกนำร่อง และASTV จะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อเป็นอาวุธ เพื่อเป็นเครื่องมือสื่อสาร เพื่อจะโยงใยพี่น้องทั้งหลายทุกๆ แห่งหน ไม่ว่าจะเป็น ยะลา ปัตตานี นราธิวาส หาดใหญ่ ชุมพร นครศรีธรรมราช ขึ้นไปจนถึงเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง ตลอดจนไปถึงภาคอีสานเหนืออีสานใต้ ไปทางภาคตะวันออกทั้งภาค และภาคกลางทั้งภาค รวมทั้งกรุงเทพมหานคร
พี่น้องครับ คนดู ASTV มีกว่า 15 ล้านคน พี่น้องครับ ASTV อยู่ได้ เพราะแรงใจ แรงบริจาคของพ่อแม่พี่น้อง ถ้าพ่อแม่พี่น้องต้องการจะเก็บ ASTV เอาไว้เพื่อเป็นสมบัติของพ่อแม่พี่น้อง เพื่อเป็นสถานีโทรทัศน์แห่งเดียวเท่านั้นในประเทศไทย ที่กล้าให้ความจริงกับพ่อแม่พี่น้อง และASTV เท่านั้น ที่นำพาพี่น้องและให้พี่น้องเข้ามามีส่วนร่วม ร่วมแรงร่วมใจสามัคคีกันกู้ชาติครั้งนี้ และกู้ได้สำเร็จเกือบจะหมดแล้วตอนนี้ ก็เพราะว่าเรายึดมั่นในการขายความจริงโดยไม่กลัวภยันอันตรายทั้งสิ้น พี่น้องครับ ไม่ได้เป็นการมาขอเงินขอทองพ่อแม่พี่น้อง แต่ว่าการสนับสนุนของพ่อแม่พี่น้องเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะว่า ASTV ทุกวันนี้อยู่ได้เพราะพ่อแม่พี่น้อง
พี่น้องครับ ประเดี๋ยวจะพักสักครู่หนึ่งแล้วผมจะโอนหน้าที่ของผมให้กับ คุณสำราญ รอดเพชร ที่จะมาพูดคุยกับแกนนำทั้งรุ่น 1 รุ่น 2 เพื่อที่จะคุยกันอย่างถึงลูกถึงคนครับพี่น้องครับ แต่วันนี้ขอให้ผมได้กราบขอบพระคุณพ่อแม่พี่น้องทุกคน และผมต้องขอแสดงความเสียใจกับญาติพี่น้อง พ่อแม่พี่น้องที่ลูกหลานได้เสียชีวิต หรือว่าบาดเจ็บ หรือว่าพิการในครั้งนี้ พวกเราจะไม่มีวันลืมพวกท่านเลยแม้แต่นิดเดียว ขอแสดงความเสียใจกับพ่อแม่พี่น้อง น้องโบว์ซึ่งเป็นคนที่เสียชีวิตล่าสุด นะครับ ตลอดจน คุณพิเชษฐ์ ซึ่งเป็นบิดาของ คุณเทิดศักดิ์ เจ้าของวิทยุวิหคสายฟ้า ที่ จ.เชียงใหม่ คุณเทิดศักดิ์ นั้นเป็นคนซึ่งกล้าสู้ คนที่อยู่ในเชียงใหม่กล้าสู้กับอำนาจมืด เราต้องยกย่อง ให้ความนับถือเขา พี่น้องครับนี่คืออีกบริบทหนึ่งของการต่อสู้ของเรา พี่น้องครับ พี่น้องรวมตัวกันเอาไว้ ชัยชนะมาเกือบชนะเด็ดขาดแล้ว การยุบพรรคครั้งนี้เป็นสัญญาณล่มสลายของระบอบทักษิณในที่สุด ซึ่งผมเชื่อว่าจะต้องล่มสลายไม่เกินเดือนธันวาคมนี้ครับพี่น้องครับ และขอบพระคุณพ่อแม่พี่น้องทุกท่านที่พร้อมใจกันยุติการชุมนุมเมื่อศาลได้มีคำพิพากษายุบพรรค เราพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นคนเกเร ไม่ใช่เป็นคนที่ไม่มีเหตุผล แต่เราบอกแล้วว่า เราจะต่อสู้ปกป้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้มีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม เพื่อไม่ให้ปล่อยคนผิด หรือพรรคการเมืองที่ทำผิดลอยนวลออกไป เมื่อศาลได้พิพากษาแล้ว เราเป็นคนซึ่งมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เราตอบเสมอว่าศาลจะพิพากษาอย่างไรเรายอมรับ เมื่อศาลพิพากษาแล้ว เราบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ทันทีเรายุติการชุมนุมเลย แต่อย่างที่เราพูดไว้แล้ว เราจะกลับมาใหม่ ไม่ได้หมายความว่าเราเลิก เราถือว่าถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว สังคมกำลังถามเราว่า เมื่อเราได้ตรงนี้แล้วเราพอใจหรือไม่ ตอบว่า เรายังไม่พอใจ แต่ว่าเราต้องยุติการชุมนุม เหตุผลเพราะว่า ได้ครบเงื่อนไขของการชุมนุมแล้ว การตั้งเงื่อนไข เพราะฉะนั้นแล้วเงื่อนไขของเราก็คือว่า ศาลรัฐธรรมนูญออกมา คำพิพากษา และเราก็มั่นใจ จะยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรค เราก็จะยุติ แต่ปรากฏว่า ฟ้ามีตา ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพวกนี้ เราก็เลยยุติตามเงื่อนไขที่เราตั้งเอาไว้ และได้บรรลุเอาไว้แล้ว
พี่น้องครับ เดี๋ยวขอพักกันสักครู่ แล้วกลับมาพบกับคุณสำราญ รอดเพชร ครับ สวัสดีครับ”