หน.ปชป.พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ประณามพวกนิยมความรุนแรง เอาคานเข้าสอดหวังเป็นตัวกลางเจรจา “ชาย-พันธมิตรฯ” ยุติปัญหา สวมบทกาวใจเรียกร้องทั้งสองฝ่ายอย่าตั้งธงคำตอบรอล่วงหน้า
วันนี้ (26 พ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการหารือระหว่างแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มเติมว่า ตนและพรรคประชาธิปัตย์แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ขอประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจากฝ่ายใดในทุกกรณี และไม่ควรมีเหตุผลใดๆ ที่คนไทยต้องได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากฝีมือคนไทยด้วยกัน และเราขอประณามผู้ที่มีส่วนในการสร้างความรุนแรงด้วย อีกทั้งพรรคไม่เห็นด้วยกับการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ แต่วันนี้เหตุการณ์ที่พัฒนามากมา ปัญหาใหญ่กว่าสนามบิน ปัญหาขณะนี้เหมือนกับว่าประเทศทั้งประเทศและประชาชนถูกจับเป็นตัวประกันในความขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งสถานการณ์นี้ต้องยุติลงโดยเร็วที่สุดก่อนจะเกิดความเสียหายในบ้านเมืองมากกว่านี้
ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวอีกว่า ตนพูดหลายครั้งว่าพรรคไม่ใช่คู่กรณีของความขัดแย้งในช่วงที่ผ่านมา และมีอะไรที่จะช่วยได้เราก็พร้อมทำ อีกทั้งเราพร้อมทำหน้าที่ของเราเพื่อความถูกต้อง และจากการประชุมร่วม 4 ฝ่ายเมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลอยากให้ตนมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาด้วยการเป็นตัวกลางการเจรจานั้น หลังจากนั้นตนไม่ได้รับการติดต่อจากนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีในฐานะรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีเลย แต่ได้ทราบผ่านสื่อมวลชนว่า นายชวรัตน์บอกว่าอยากให้ตนเป็นตัวกลางในการเจรจา แต่ตนได้รับการติดต่อประธานรัฐสภาเท่านั้น ทั้งนี้ จุดยืนของตนชัดคือต้องการให้สถานการณ์ความขัดแย้งยุติลงด้วยเร็วที่สุด
“ผมไม่ต้องการเห็นความสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อของประชาชน ผมไม่ต้องการเห็นความสูญเสียประชาธิปไตย เพราะผมมองว่าตอนนี้มีความพยายามพัฒนาเหตุการณ์ไปสู่ความสูญเสียประชาธิปไตยด้วย ดังนั้น เมื่อท่านรองนายกฯพูดผ่านสื่อเมื่อเช้าวันนี้ (26 พ.ย.) ผมได้ติดต่อกลับไปยังท่านรักษาการนายกฯ ผมยืนยันว่าพร้อมทำหน้าที่นี้ และผมคิดว่าสิ่งที่ต้องทำทันทีคือเมื่อนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาถีงประเทศไทย ท่านจะต้องไปเจรจากับพันธมิตรฯ และผมพร้อมอยู่ด้วยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข ผมได้เรียนท่านรักษาการนายกฯ แล้วว่าขอให้ท่านติดต่อกับนายกฯสมชายในระหว่างเดินทางกลับว่าถ้าท่านพร้อมเข้าสู่การเจรจา ผมพร้อมที่จะทำหน้าที่ประสานงานกลับไปทันทีและผมกำลังรอคำตอบจากท่านรักษาการนายกฯอยู่ และยืนยันเจตนาที่เดินหน้าให้ 2 ฝ่ายมาพบกันเพื่อคลี่คลายสถานการณ์เร็วที่สุด ทันทีที่นายกฯยืนยันว่าท่านพร้อมเจรจา ผมก็จะเดินหน้าประสานกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ตอนนี้ได้ลองให้คนไปหยั่งท่าทีกับกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าพร้อมเจรจาหรือไม่ ซึ่งผมคิดว่าขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน จนกว่าจะทราบรูปแบบของการเจรจา และผมยืนยันว่าต้องเป็นนายกฯ เท่านั้นที่จะมาเจรจา” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่ตนเสนออย่างนี้เพราะสิ่งที่สังคมให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ การปิดสนามบิน ซึ่งมีปัญหาทั้งความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจริง และเป็นปัญหาในเชิงสัญลักษณ์ด้วย เพราะจะกระทบไปถึงภาพลักษณ์ของประเทศต่อทั่วโลก แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าเราปล่อยให้เป็นการเจรจาระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ที่บริหารสนามบิน แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สนามบิน การแก้ปัญหาจริงๆอยู่ที่ต้องมีการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับผู้ชุมนุม
เมื่อถามว่า สถานการณ์ตอนนี้ถือว่าเลยจุดที่จะมีการเจรจาหรือไม่ ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า ตนไม่คิดว่าปัญหาบ้านเมืองจะจบลงได้ถ้าไม่มีการเจรจา และสำหรับพันธมิตรฯมันไม่มีม้วนเดียวจบ ตนไม่ทราบว่าในความคิดของกลุ่มพันธมิตรฯ ชัยชนะขอบเขาหมายถึงรูปแบบใด แต่ตนบอกได้ว่ามีประชาชนหรือมวลชนจำนวนมากที่สนับสนุนรัฐบาลเข้ามา ซึ่งพันธมิตรฯ ก็คงไม่สามารถปฏิเสธเจตนารมณ์ของคนเหล่านั้น อีกทั้งถ้าพันธมิตรฯ คิดว่าชนะนายสมชายได้แล้วเรื่องจะจบ คงไม่ใช่ข้อยุติและปัญหาจะกลับมาในรูปแบบอื่น ในทางตรงกันข้าม เมื่อสถานการณ์พัฒนามาถึงขั้นนี้ ถ้ารัฐบาลคิดว่าเรื่องจะจบลงด้วยการมีสงครามระหว่างประชาชนหรือกองกำลังเข้าไปดำเนินการใดๆ เพื่อนำไปสู่ความสงบเฉพาะหน้า หรือปล่อยให้มีการชุมนุมไปเรื่อยๆเพื่อหวังให้สังคมกดดันกลุ่มพันธมิตรฯ เรื่องก็ไม่จบ เพราะความคิดของกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ตายไปจากสังคม
“ผมจึงยืนยันว่าถ้าใครมองฝ่ายใดจะชนะด้วยรูปแบบใดก็ตาม มันไม่เป็นจริง เพราะประชาชนและประเทศไม่ได้ชนะด้วย แต่ทางเดียวที่ประเทศจะชนะได้ตอนนี้คือต้องมีการเจรจา โดยนายกฯและแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมต้องมาเจรจาในกระบวนการที่ประชาชนสามารถรับรู้รับทราบมุมมองของ 2 ฝ่ายได้ ตลอดจนผู้ที่เข้ามาเจรจาต้องมีความจริงใจและมีอำนาจเต็ม ผมพูดไว้เลยว่าถ้านายกฯสมชายจะบอกว่าตัดสินใจอะไรไม่ได้ จะเปิดโทรศัพท์ไปถึงต่างประเทศ ก็ทำได้และควรทำ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า การเจรจาควรมีคำตอบคืออะไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าพูดคำตอบก่อนโดยไม่ฟังคู่เจรจา ตนคิดว่าไม่มีใครยอมเจรจา เพราะการเจรจาจะเกิดขึ้นได้ต้องไม่มีคำตอบล่วงหน้า แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องการความจริงใจและเจตนาให้เรื่องจบโดยไม่มีความรุนแรง ซึ่งหมายความว่าถ้าเข้าสู่การเจรจา มวลชนทุกฝ่ายต้องไม่มาทำให้กระบวนการนี้สะดุดหยุดลง นอกจากนี้ ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายยังยืนกระต่ายขาเดียวในสิ่งที่ขัดแย้งกัน เรื่องก็ไม่จบ ดังนั้นต้องมาคุยกัน และถ้าการเจรจาเดินไปได้ คิดว่าเป็นคำตอบของทุกเหตุการณ์ได้