“พล.ต.จำลอง” จวกตัวการยิงระเบิดใส่พันธมิตรฯ ขี้ขลาดตาขาว ทำร้ายคนไม่มีอาวุธ มั่นใจชุมนุมใหญ่ 23 พ.ย.ชนะแน่ เหตุสถิติการต่อสู้ในอดีต 7 ครั้งชนะตลอด ย้ำไม่ยืดเยื้อ แต่ ปชช.ต้องออกมาให้มากที่สุด หากมาน้อยแล้วแพ้ ก็กลับบ้านใครบ้านมัน ยกบ้านเมืองให้คนชั่วปกครอง และบ่อนทำลายให้ย่อยยับไปชั่วนิรันดร์
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พลตรีจำลอง ศรีเมือง ปราศรัย
เมื่อเวลา 19.55 น.วันนี้ (20 พ.ย.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยบนเวทีที่ทำเนียบรัฐบาล โดยได้ยกย่องประชาชนที่มาร่วมชุมนุมวันนี้ว่า มีความกล้าหาญมาก เพราะแกนนำได้นัดหมายให้มาชุมนุมในวันที่ 23 พ.ย.เวลา 14.00 น. แต่ก็พากันทยอยมาเต็มพื้นที่ตั้งแต่วันนี้ ดังนั้น การที่รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คิดว่าเอาอาวุธสงครามยิงใส่พวกเราแล้วเราจะหนีกลับบ้านจึงเป็นความคิดที่ผิด และทำให้เรามั่นใจว่า การต่อสู้เที่ยวนี้จะไม่ยืดเยื้อ ม้วนเดียวจบแน่ๆ
“ท่านที่อยู่ที่นี่และอยู่ที่บ้านที่เตรียมจะมาวันที่ 23 ล้วนเป็นนักสู้ผู้กล้าทรหดอดทน มีประเทศไหนบ้างที่ชาวบ้านออกมาปกป้องบ้านเมือง ปักหลักพักค้างถึง 180 วันอย่างนี้ ขอเรียนอีกครั้งว่า ผู้ที่เป็นทหารไม่ว่าจะอยู่ในราชการหรือเกษียณอายุแล้ว เมื่อขึ้นเวทีนี้ทีไร สะท้อนใจทุกที เพราะว่าพี่น้องที่มาตกระกำลำบาก มาทำเพื่อชาติบ้านเมือง ไม่ได้มาเพื่อส่วนตัว หรือมาแสวงหาอำนาจเหมือนรัฐบาล
เรามานั่งกันเต็ม มาชุมนุมกันเต็ม กลับไปได้อะไรเป็นประโยชน์ส่วนตัวไหม ไม่ได้ แต่ได้ประโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติแน่นอน พวกผมที่เป็นทหาร ทำไมจึงสะท้อนใจ เราออกไปต่อสู้ครั้งใด กลับมาบ้านได้เงินสู้รบเพิ่มจากเงินเดือนหลายขั้น แต่ท่านได้อะไร ไม่ได้ แต่มีความภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง คนชรา ผมไปรบที่ลาวกลับมา ได้เงินเพิ่มสู้รบเพิ่ม 5 ขั้น ไปรบที่เวียดนามอีกกลับมาได้อีก 4 ขั้น รวมแล้ว 9 ขั้น แล้วท่านประธานคณะกรรมการรักษาความปลอดภัยในที่ชุมนุม พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ไปต่อสู้ในหลายสมรภูมิ วันนี้ไม่มีใครได้เงินสู้รบมากเท่าเขาที่ได้ 16 ขั้น แล้วพี่น้องไมได้สักขั้น ทำให้พวกเราสะท้อนหัวใจ”
พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า การที่เราเสียนายเจนกิจ กลัดสาคร ถือว่าเขาเป็นวีรชนเหมือน น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ และ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี แม้ไม่ได้ออกไปสู้รบ ตอนเสียชีวิตไม่ได้เอาธงคลุม แต่ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่เพื่อชาติแล้ว
พล.ต.จำลอง ได้กล่าวประณามคนก่อเหตุยิงระเบิดใส่พันธมิตรฯ ว่าเป็นการกระทำที่เหี้ยมโหด ขี้ขลาดตาขาว ที่ใช้อาวุธสงครามมาแอบยิงคนกำลังนอน นั่งชุมนุม โดยไม่มีอาวุธในมือเลย แน่จริงทำไมไม่ไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่ามาแสดงความเก่งกล้ากับผู้หญิง คนชรา เด็ก ซึ่งถือว่าขี้ขลาดตาขาว
“พวกผมไปรบในสนามรบ ไปฟาดฟันข้าศึก แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ถ้าข้าศึกไม่มีอาวุธในมือเราก็ยังไม่ยิง เพราะเราคือสุภาพบุรุษนักรบ ราไม่ทำร้ายใครที่ปราศจากอาวุธ อย่างมากแค่จับเป็นเชลย เพราะฉะนั้นคนที่ทำ ขอให้พี่น้องประณามแล้ว ประณามเล่า ว่าเป็นคนขี้ขลาดตาขาว เราต้องการคนจริงที่จะต่อสู้เพื่อบ้านเมือง คือคนที่นั่งอยู่ทีนี่”
พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า เรามีความเสียดายที่ต้องสูญเสียวีระชนอีกคน บาดเจ็บสาหัสอีก 2 บาดเจ็บทั่วไปอีก 21 คน ที่เราระดมพันธมิตรฯ ทั่วประเทศในวันที่ 23 พ.ย.นี้ ไม่ต้องพกอาวุธมา แต่ขอรับรองว่าถ้ามามากชนะแน่นอน เพราะถ้าคนมาเป็นล้านไปที่ไหนก็ราบเรียบไม่เหลือ วันนี้หลายท่านจะได้มีโอกาสพักผ่อน ได้กลับบ้านเพื่อรอมาใหม่ เราจะปิดเวทีตอน 2 ยาม(เที่ยงคืน) และให้ รปภ.ทำงานได้อย่างเต็มที่ด้วย
พล.ต.จำลอง เปิดเผยว่า พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ เคยบอกไปยังผู้มีหน้าที่รักษาความมั่นคงว่าให้ระมัดระวังว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้ความนุรนแรง แต่ผู้รักษาความมั่นคงอาจประมาท เสร็จพระราชพิธีฯ ไม่กี่ชั่วโมงก็ลงมือก่อเหตุ เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้จะประมาทไมได้แล้ว พวกคุณถืออาวุธได้อย่างเปิดเผย มีหน้าที่รักษาความมั่นคง ได้รับการฝึกมา กินเงินเดือนเป็นลูกจ้างประจำของประชาชน เพราะฉะนั้นจะปล่อยให้เกิดอีกไม่ได้เป็นอันขาด
“จุดอ่อนที่เรารู้มา เราป้องกันไว้แล้ว บนตึกทั้งหลายแหล่ เราได้ตกลงกับเจ้าของเพื่อขึ้นตรวจทุกตึก และหลังจากนี้ห้ามขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนั้น พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ได้ชี้บอกผู้มีหน้าที่รักษาความมั่นคงว่านอกจากตึกสูง ยังมีชุมชนที่อยู่ใกล้ๆ ที่ผู้ก่อความไม่สงบอาจใช้ยืนยิง ขอให้ไปลาดตระเวน เพราะฉะนั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก”
พล.ต.จำลอง ย้ำว่า การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ลากยาวเป็นอันขาด และต้องจบโดยเร็ว แต่ประชาชนต้องออกมาให้มาก ถ้ามาน้อยจะแพ้ แต่เราก็ภูมิใจที่เราได้ทำเต็มที่ เพียงแต่ว่าถ้าแพ้ก็เท่ากับยกบ้านยกเมืองให้คนชั่วครอง และทำบ้านเมืองให้ย่อยยับไปชั่วนิจนิรันดร์ อย่างไรก็ตาม มีความมั่นใจว่าต้องชนะแน่เมื่อดูจากสถิติการต่อสู้ 7 ครั้งที่ผ่านมา
พล.ต.จำลองได้เล่าย้อนอดีตว่า ในการต่อสู้ของตนตลอด 7 ครั้งที่ผ่านมานั้นชนะมาตลอด เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกได้ออกมาคัดค้านกฎหมายทำแท้งเสรี สมัยที่ตนเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และเป็น ส.ว. ซึ่งตอนนั้นกฎหมายดังกล่าวผ่านสภาผู้แทน 3 วาระรวดมาแล้ว ตนได้ลาออกจากเลขาธิการนายกฯ เพื่อมาเคลื่อนไหวคัดค้านและในที่สุดวุฒิสภาก็มีมติคว่ำร่างกฎหมายดังกล่าว ด้วยคะแนน 147 ต่อ 1 และจนบัดนี้ผ่านมา 27 ปี ยังไม่มีใครกล้าเสนอกฎหมายดังกล่าวนี้อีก
“ครั้งที่ 2 ผมยังเป็น ส.ว.อยู่ ตอนนั้นมีข้อกำหนดว่า ใครเป็นข้าราชการประจำก็สามารถเป็นนักการเมืองได้ด้วย เช่น เป็นนายทหาร เป็น ผบ.เหล่าทัพ ก็เป็นรัฐมนตรีได้ด้วย แต่มีกำหนด ถ้าเลยเวลาไปแล้ว ใครเป็นข้าราชการประจำก็เป็นข้าราชการประจำอย่างเดียว ถ้าอยากเป็นนักการเมืองก็ต้องลาออกจากราชการไป จะเป็น 2 อย่างพร้อมกันไม่ได้ ผมเห็นว่าดีและสนับสนุน แต่มีอีกกลุ่มหนึ่งอยากให้เป็นแบบเดิมต่อไป คือเป็นข้าราชการประจำแล้วเป็นนักการเมืองได้ด้วย แต่ผมก็ยังเอาชนะได้ แม้คนที่เห็นตรงข้ามกับผม หลายคนเป็นทหารรุ่นพี่ มียศเป็นนายพล”
พล.ต.จำลองกล่าวต่อว่า การต่อสู้ครั้งที่ 3 คือเดือนพฤษภาคม 2535 ที่ได้ออกมาต่อต้านการสืบทอดอำนาจเผด็จการ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ตนก็ชนะอีก แต่ก็มีคนใส่ร้ายว่าพาคนไปตาย ทั้งที่ตนไปร่วทีหลัง และตอนที่มีการฆ่ากันตายนั้น ตนถูกจับไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
“ครั้งที่ 4 คือ การต่อต้านการขายหุ้นบางจากให้ต่างชาติ ผมเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงประชาชนและรัฐบาล แม้ว่าเราไม่ได้พิสมัยบริษัทนี้เป็นพิเศษ แต่เราเห็นว่าเป็นด่านหน้า ถ้าขายบริษัทนี้ให้ต่างชาติ บริษัทอื่นอย่างการบินไทย ก็จะขายให้ต่างชาติด้วย ซึ่งเรายอมไมได้ ผมจึงออกไปคัดค้านในนาม “คนกู้เมือง” ผมก็ชนะ ไม่เช่น คงโดนขายให้ต่างชาติหมด”
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า การต่อสู้ครั้งที่ 5 คือ การต่อต้านการจดทะเบียนเบียร์ช้างในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งตนและกองทัพธรรมและศาสนิกชนหลายศาสนาช่วยกันต่อต้าน จนต้องชะลอการจดออกไป ครั้งที่ 6 คือกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขายหุ้นให้เทมาเส็กโดยไม่เสียภาษี ตนจึงออกมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ไปนอนปักหลักพักค้างอยู่ 33 วัน จน พ.ต.ท.ทักษิณออกไป
“ครั้งที่ 7 คือ การประท้วงให้คุณสมัครลาออก ซึ่งยากมาก แต่สุดท้ายคุณสมัครก็ออกไป ครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่ 8 ผมชนะมาแล้ว 7 ครั้ง ครั้งที่ 8 จะไม่ชนะได้ไง เพราะมีสถิติของจริงมาอ้าง อย่างไรก็ตาม ถ้าเราแพ้ ก็ยกบ้านยกเมืองให้คนชั่วครองเมืองไปเลย แล้วให้เขาทำลายบ้านเมืองไปชั่วนิจนิรันดร์ แต่จะไม่เป็นอย่างนั้นเด็ดขาด ถ้าพี่น้องออกมาให้เยอะๆ”
พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า ขอพูดผ่านเอเอสทีวี ไปถึงคนกลาง หรือคนกลวงทั้งหลาย หรือคนดีที่เอาแต่อยู่บ้านเฉยๆ แล้วบอกว่ารักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ วันละ 3 เวลา แต่จะช่วยอะไรไม่ได้ ประเทศไทยมีคนใจดำอีกจำนวนมาก บางคนมีกำลัง มีเครื่องมือ มีหน้าที่โดยตรงในการรักษาคามั่นคง แล้วเฉยๆ อยู่กับบ้าน หลายคนมีกำลังวังชาพอที่จะมาเป็นดารับเชิญ มาแสดงให้มากๆ ให้พวกเราได้รับชัยชนะ แต่ก็ไม่ออกมา
หลายคนไม่ออกมาเพราะความจำเป็นหลายอย่าง บางคนร่ำรวยมหาศาลแต่ไม่เคยช่วยพันธมิตรฯ เลย แม้แต่ค่าอาหารสักบาทก็ไม่ช่วย ขอให้คิดใหม่ ถ้าไม่ออกมาช่วย เวลาบ้านเมืองเจ๊ง คุณเจ๊งด้วย คุณจะตายตาไม่หลับ เพราะคุณไม่ออกมาช่วยเลย แต่เราได้ทำอย่างเต็มที่ ถ้าเรามาน้อย เราต้องกลับบ้าน แต่เราก็ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว มีประเทศไหนที่คนที่ไม่ใช่ทหาร แต่ออกมาปกป้องชาติจนครบ 6 เดือน
“ถ้าแพ้ เรก็ภูมิใจว่าได้ทำเต็มที่แล้ว เราก็กลับไปอยู่หมู่บ้านของเรา ไม่กลับได้ไง ถ้าแพ้ต้องกลับ แต่เราต้องไม่แพ้ คราวนี้ต้องเร็ว ไม่มียืดเยื้อเป็นเดือนๆ อีกต่อไป แม้คนที่มาร่วมชุมนุมเป็นสตรี เยาวชนเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ดูแววตาแต่ละคนล้วนเป็นนักสู้ทั้งนั้น จึงคิดว่าเราไม่แพ้ แต่ต้องออกมาให้เยอะๆ” พล.ต.จำลอง กล่าว