ส.ส.ทาส “แม้ว” ไม่ทิ้งสันดานเดิม อภิปรายพาดพิงคนภายนอก กล่าวหา “สนธิ” ทำคนอุดรฯ เสียหาย กรณีเปิดโปงคนพ่นสีใส่พระบรมฉายาลักษณ์ ด้าน “วัชระ เพชรทอง” ประเดิมเก้าอี้ใหม่ ห่วง ส.ส.พปช.ทำบ้านเมืองแตกแยก เพื่อช่วยเหลือคนตระกูลเดียว “จตุพร” ร้อนตัว กล่าวหากลับ รับคำสั่ง “สนธิ” บุก NBT แถมท้าสาบานวุ่น ด้าน “พลังแม้ว” สุรินทร์ รับไม่ได้อาจารย์เลื่อมใสพันธมิตรฯ อ้างไม่ยอมสอนนักเรียน
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 19 พ.ย.มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดย นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม นายเชิดชัย วิเชียรวรรณ ส.ส.อุดรธานี พรรคพลังประชาชน ได้อภิปรายว่า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทางกฎหมายกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยอ้างว่านายสนธิ ใส่ร้ายป้ายสีคนอุดรธานี ในกรณีที่มีคนนำสีสเปรย์ไปพ่นใส่พระบรมฉายาลักษณ์บนป้ายถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ซึ่ง นายเชิดชัย อ้างว่า นายสนธิ ได้ระบุผู้ที่อยู่เบื้องหลัง คือ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี นายธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตรฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียหาย และคนอุดรธานีก็เสียหาย ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า คนอุดรธานีมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว นายสนธิ ได้พูดบนเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืนวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา โดย นายสนธิ ได้แสดงความเป็นห่วงต่อกระบวนการทำลายสถาบันเบื้องสูง ที่ยังคงเหิมเกริมไม่หยุด โดยล่าสุด คือ กรณีที่มีคนนำสีสเปรย์ไปพ่นบนพระบรมฉายาลักษณ์ที่ จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่กลุ่ม นปก.มีอิทธิพล และเรียกร้องให้ตำรวจภูธรภาค 4 รวมทั้ง นายธีระชัย แสนแก้ว ในฐาน ส.ส.อุดรธานี แสดงความรับผิดชอบด้วย
จากนั้น นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายแสดงความเป็นห่วงกรณี ส.ส.พรรคพลังประชาชน ออกมาระบุถึงการช่วยเหลือบางตระกูล ซึ่งเกรงว่าจะทำให้เกิดความแตกแยกถึงขั้นมีการระบุว่า “อยู่อย่างสงบไม่ได้ก็อย่าอยู่”
จากนั้น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ข้อความที่ นายวัชระ นำมากล่าวอ้าง เข้าใจว่า มาจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่ง นายวัชระ เคยเป็นบรรณาธิการมาก่อน และได้กล่าวหาว่า นายวัชระ เป็นคนรับงานจาก นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการไปบุกสถานีเอ็นบีที เพิ่งเข้ามาเป็น ส.ส.และยังแสดงความโอหัง
มาถึงช่วงนี้ นายวัชระ ประท้วงโดยเรียกร้องให้สภาดำเนินการกับ นายจตุพร ที่กล่าวพาดพิงตนในรายการ “ความจริงวันนี้” เมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า ตนรับคำบัญชาจาก นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นการกล่าวหา โดยผู้ที่พูดเป็นผู้ที่โอหัง และก็น่าจะรู้ดีว่า ส.ส.คนนี้เป็นคนยังไง และอยากถามว่าจะกลับปักษ์ใต้ได้หรือไม่
นายจตุพร ได้ลุกขึ้นโต้ตอบทันทีว่า ในวันที่ 26 ส.ค.ที่พันธมิตรฯ บุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที(NBT) ในขณะนั้น มีการถ่ายทอดสดบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ ได้ประกาศว่า ขณะนี้ยึด NBT ได้แล้ว และ นายสนธิ ก็สั่งให้นายวัชระ ไปที่ NBT
“เอาเป็นว่า ใครพูดไม่จริงขอให้ครอบครัวมีอันฉิบหาย หายนะ อย่าให้มันได้ดิบได้ดีเลย” นายจตุพร กล่าว
นายวัชระ ได้โต้กลับว่า ที่กล่าวหาว่า ตนไปบุก NBT นั้น เป็นความเท็จ อยากให้ นายจตุพร พูดอยู่ในประเด็นและถอนคำพูด เพราะ นายจตุพร ก็รับใช้ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง
นายจตุพร กล่าวว่า ตนขอถามย้ำว่า ในวันที่ 26 ส.ค.นายวัชระ ไปที่ NBT จริงหรือไม่ ถ้าไม่เชื่อก็ให้ไปเปิดเทปดูได้ เพราะมีการบันทึกเทปไว้ ซึ่งตนขอสาบานว่า “ใครพูดเท็จขอให้ฉิบหายตายโหง” ทั้งนี้ หากจะให้ตนถอนคำพูดก็ต้องถอนกันทั้งหมด
นายวัชระ กล่าวว่า มีสมาชิกที่ชอบสาบานขณะนี้กรรมตามทันแล้ว จึงอยากให้ นายจตุพร ถอนคำพูด เพราะสิ่งที่ นายจตุพร พูดว่า ตนรับคำสั่งจาก นายสนธิ มานั้น ทำให้ตนเสียหาย และตนพร้อมรับคำท้าสาบาน และอยากทราบว่า นายจตุพร เรียนจบปริญญาตรีมาได้ยังไง
ทำให้ นายจตุพร ตอบโต้ว่า ในเรื่องการจบปริญญาตรี นายวัชระ ก็เคยไปร้องที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงมาแล้ว แต่ตนอยากถามกลับว่า วันที่ 26 ส.ค.ไป NBT จริงหรือไม่ หากเป็นตนถ้านายสนธิ มาใช้ให้ตนไป ตนก็พร้อมที่จะยอมรับ เพราะไปจริงๆ หากไม่ยอมรับก็คงต้องเป็นหมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการโต้ตอบของทั้ง 2 คน เป็นไปอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่ง นายสามารถ ประธานในที่ประชุม ได้บอกว่า ถ้าทั้ง 2 คนจะไปสาบานที่ไหนก็ไป สภาจะได้เดินหน้าทำงานต่อและเรื่องดังกล่าวก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ทั้ง นายวัชระ และ นายจตุพร ต่างก็ไม่ยอม จนท้ายที่สุด นายสามารถ ต้องใช้ข้อบังคับการประชุมให้ยุติความขัดแย้ง
“พลังแม้ว” โวย อาจารย์เลื่อมใสพันธมิตรฯ
ด้าน นางมลิวัลย์ ธัญญสกุลกิจ ส.ส.สุรินทร์ พรรคพลังประชาชน อภิปรายว่า ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองของนักเรียนมัธยมปลาย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดสุรินทร์แห่งหนึ่งว่า มีอาจารย์คนหนึ่งเลื่อมใสกลุ่มพันธมิตรฯ และใช้เวลาทั้งชั่วโมง พูดแต่เรื่องพันธมิตรฯ ให้เด็กๆ ฟัง ขณะที่เนื้อหาในวิชาเรียนให้เด็กไปอ่านกันเอง ซึ่งจะส่งผลให้เด็กมีปัญหาในสอบเอนทรานซ์ตามมา ซึ่งพฤติกรรมของอาจารย์สร้างความแตกแยกให้สังคม และเป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ จึงอยากเรียกร้องให้ รมว.ศึกษาฯ ลงไปตรวจอบ และเข้าไปดำเนินการด้วย
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า พฤติกรรมของ ส.ส.และคนของพรรคพลังประชาชน มักจะอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลที่ 3 ที่อยู่ภายนอกสภาเป็นประจำ ตั้งแต่สมัยที่ นายจักรภพ เพ็ญแข เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้อภิปรายกล่าวหาเอเอสทีวี และ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ระหว่างการชี้แจงเรื่องการจัดระบบสื่อรัฐ เมื่อเดือน ก.พ.51 รวมถึงการประชุมร่วมของ 2 สภาเพื่ออภิปรายทั่วไปโดยไม่ต้องลงมติเมื่อวันที่ 31 ส.ค.51 ส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้อภิปรายโยนความผิดไปให้พันธมิตรฯ ว่าเป็นฝ่ายที่สร้างความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 19 พ.ย.มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดย นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม นายเชิดชัย วิเชียรวรรณ ส.ส.อุดรธานี พรรคพลังประชาชน ได้อภิปรายว่า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทางกฎหมายกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยอ้างว่านายสนธิ ใส่ร้ายป้ายสีคนอุดรธานี ในกรณีที่มีคนนำสีสเปรย์ไปพ่นใส่พระบรมฉายาลักษณ์บนป้ายถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ซึ่ง นายเชิดชัย อ้างว่า นายสนธิ ได้ระบุผู้ที่อยู่เบื้องหลัง คือ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี นายธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตรฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียหาย และคนอุดรธานีก็เสียหาย ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า คนอุดรธานีมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว นายสนธิ ได้พูดบนเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืนวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา โดย นายสนธิ ได้แสดงความเป็นห่วงต่อกระบวนการทำลายสถาบันเบื้องสูง ที่ยังคงเหิมเกริมไม่หยุด โดยล่าสุด คือ กรณีที่มีคนนำสีสเปรย์ไปพ่นบนพระบรมฉายาลักษณ์ที่ จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่กลุ่ม นปก.มีอิทธิพล และเรียกร้องให้ตำรวจภูธรภาค 4 รวมทั้ง นายธีระชัย แสนแก้ว ในฐาน ส.ส.อุดรธานี แสดงความรับผิดชอบด้วย
จากนั้น นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายแสดงความเป็นห่วงกรณี ส.ส.พรรคพลังประชาชน ออกมาระบุถึงการช่วยเหลือบางตระกูล ซึ่งเกรงว่าจะทำให้เกิดความแตกแยกถึงขั้นมีการระบุว่า “อยู่อย่างสงบไม่ได้ก็อย่าอยู่”
จากนั้น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ข้อความที่ นายวัชระ นำมากล่าวอ้าง เข้าใจว่า มาจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่ง นายวัชระ เคยเป็นบรรณาธิการมาก่อน และได้กล่าวหาว่า นายวัชระ เป็นคนรับงานจาก นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการไปบุกสถานีเอ็นบีที เพิ่งเข้ามาเป็น ส.ส.และยังแสดงความโอหัง
มาถึงช่วงนี้ นายวัชระ ประท้วงโดยเรียกร้องให้สภาดำเนินการกับ นายจตุพร ที่กล่าวพาดพิงตนในรายการ “ความจริงวันนี้” เมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า ตนรับคำบัญชาจาก นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นการกล่าวหา โดยผู้ที่พูดเป็นผู้ที่โอหัง และก็น่าจะรู้ดีว่า ส.ส.คนนี้เป็นคนยังไง และอยากถามว่าจะกลับปักษ์ใต้ได้หรือไม่
นายจตุพร ได้ลุกขึ้นโต้ตอบทันทีว่า ในวันที่ 26 ส.ค.ที่พันธมิตรฯ บุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที(NBT) ในขณะนั้น มีการถ่ายทอดสดบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ ได้ประกาศว่า ขณะนี้ยึด NBT ได้แล้ว และ นายสนธิ ก็สั่งให้นายวัชระ ไปที่ NBT
“เอาเป็นว่า ใครพูดไม่จริงขอให้ครอบครัวมีอันฉิบหาย หายนะ อย่าให้มันได้ดิบได้ดีเลย” นายจตุพร กล่าว
นายวัชระ ได้โต้กลับว่า ที่กล่าวหาว่า ตนไปบุก NBT นั้น เป็นความเท็จ อยากให้ นายจตุพร พูดอยู่ในประเด็นและถอนคำพูด เพราะ นายจตุพร ก็รับใช้ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง
นายจตุพร กล่าวว่า ตนขอถามย้ำว่า ในวันที่ 26 ส.ค.นายวัชระ ไปที่ NBT จริงหรือไม่ ถ้าไม่เชื่อก็ให้ไปเปิดเทปดูได้ เพราะมีการบันทึกเทปไว้ ซึ่งตนขอสาบานว่า “ใครพูดเท็จขอให้ฉิบหายตายโหง” ทั้งนี้ หากจะให้ตนถอนคำพูดก็ต้องถอนกันทั้งหมด
นายวัชระ กล่าวว่า มีสมาชิกที่ชอบสาบานขณะนี้กรรมตามทันแล้ว จึงอยากให้ นายจตุพร ถอนคำพูด เพราะสิ่งที่ นายจตุพร พูดว่า ตนรับคำสั่งจาก นายสนธิ มานั้น ทำให้ตนเสียหาย และตนพร้อมรับคำท้าสาบาน และอยากทราบว่า นายจตุพร เรียนจบปริญญาตรีมาได้ยังไง
ทำให้ นายจตุพร ตอบโต้ว่า ในเรื่องการจบปริญญาตรี นายวัชระ ก็เคยไปร้องที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงมาแล้ว แต่ตนอยากถามกลับว่า วันที่ 26 ส.ค.ไป NBT จริงหรือไม่ หากเป็นตนถ้านายสนธิ มาใช้ให้ตนไป ตนก็พร้อมที่จะยอมรับ เพราะไปจริงๆ หากไม่ยอมรับก็คงต้องเป็นหมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการโต้ตอบของทั้ง 2 คน เป็นไปอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่ง นายสามารถ ประธานในที่ประชุม ได้บอกว่า ถ้าทั้ง 2 คนจะไปสาบานที่ไหนก็ไป สภาจะได้เดินหน้าทำงานต่อและเรื่องดังกล่าวก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ทั้ง นายวัชระ และ นายจตุพร ต่างก็ไม่ยอม จนท้ายที่สุด นายสามารถ ต้องใช้ข้อบังคับการประชุมให้ยุติความขัดแย้ง
“พลังแม้ว” โวย อาจารย์เลื่อมใสพันธมิตรฯ
ด้าน นางมลิวัลย์ ธัญญสกุลกิจ ส.ส.สุรินทร์ พรรคพลังประชาชน อภิปรายว่า ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองของนักเรียนมัธยมปลาย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดสุรินทร์แห่งหนึ่งว่า มีอาจารย์คนหนึ่งเลื่อมใสกลุ่มพันธมิตรฯ และใช้เวลาทั้งชั่วโมง พูดแต่เรื่องพันธมิตรฯ ให้เด็กๆ ฟัง ขณะที่เนื้อหาในวิชาเรียนให้เด็กไปอ่านกันเอง ซึ่งจะส่งผลให้เด็กมีปัญหาในสอบเอนทรานซ์ตามมา ซึ่งพฤติกรรมของอาจารย์สร้างความแตกแยกให้สังคม และเป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ จึงอยากเรียกร้องให้ รมว.ศึกษาฯ ลงไปตรวจอบ และเข้าไปดำเนินการด้วย
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า พฤติกรรมของ ส.ส.และคนของพรรคพลังประชาชน มักจะอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลที่ 3 ที่อยู่ภายนอกสภาเป็นประจำ ตั้งแต่สมัยที่ นายจักรภพ เพ็ญแข เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้อภิปรายกล่าวหาเอเอสทีวี และ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ระหว่างการชี้แจงเรื่องการจัดระบบสื่อรัฐ เมื่อเดือน ก.พ.51 รวมถึงการประชุมร่วมของ 2 สภาเพื่ออภิปรายทั่วไปโดยไม่ต้องลงมติเมื่อวันที่ 31 ส.ค.51 ส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้อภิปรายโยนความผิดไปให้พันธมิตรฯ ว่าเป็นฝ่ายที่สร้างความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง