“ปราโมทย์” จี้ต่อมสำนึก “อนุพงษ์” มีอำนาจอย่างสมบูรณ์ที่จะกำจัด “ซากเดนทรราช” อย่างเด็ดขาด เตือนซ้ำต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือของ “นายกฯ-นักการเมือง” เพียงเพราะหวังกอบโกยผลประโยชน์ของชาติ ชี้อาจทำให้ “กองทัพ” ในอนาคตไม่มีใครเชื่อถือ ชี้ต้องไม่ทำให้ ปชช.สูญเสียเลือดเนื้ออีกต่อไป
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ปราศรัย
วานนี้ (19 ต.ค.) ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอาวุโสด้านรัฐศาสตร์ ขึ้นเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวถึงกรณีที่ผู้บัญชาการ 4 เหล่าทัพ ออกมาแถลงผ่านสื่อบีบนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ให้ลาออกจากตำแหน่งว่า และจะขอยู่ทำงานอีก 2 เดือน โดยไม่สนใจกระแสต่อต้านของประชาชนที่ไม่เห็นด้วยว่า มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า 4 เหล่าทัพ อาจจะเล่นละครจัดฉากไปวันๆ แต่โดยส่วนตัวแล้วไม่คิดเช่นนั้น และความจริงตนไม่มีข้อที่จะไปตำหนิกองทัพ หรือรัฐบาล แต่มีข้อแนะนำคือ ขอให้ไสหัวออกไป เพราะมีความชอบธรรม ฉะนั้นอย่าถ่วงเวลา ซึ่งจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ และการนองเลือดในประเทศ เพื่อที่จะได้มีอำนาจยืดเยื้อต่อไป
“ส่วนกองทัพ โดยเฉพาะแม่ทัพบกจะต้องทรงอาญาสิทธิ์ พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น ทำอย่างไรก็ได้ที่จะไสหัวรัฐบาลออกไป แต่จะต้องร่วมมือกับประชาชน ไม่ใช่ทำเหมือนกับเมื่อครั้ง คมช.เข้ากุมอำนาจ ฉะนั้น กองทัพบกต้องแสดงท่าทีที่เข้มแข็งว่ารับไม่ได้ โดยจะต้องใช้วิธีการร่วมมือกับองค์กรต่างๆ หน่วยงานราชการ ภาคประชาชน รวมทั้งพันธมิตรฯ ขณะเดียวกันประชาชน และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และชั้นผู้น้อย ต้องร่วมมือกับกองทัพ โดยอาจจะเขียนจดหมายให้กำลังใจ หรือทำอะไรก็ได้ ที่จะไสหัวรัฐบาลออกไป เพราะจะทำให้ประชาชนไม่ต้องเสียเลือดน้อยอีกต่อไป” ดร.ปราโมทย์ ระบุ
ดร.ปราโมทย์ กล่าวอีกว่า อยากฝากไปบอกถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ว่า อำนาจในกฎหมายเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ของทหารนั้น มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญจะต้องปกป้อง พิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งอำนาจหน้าที่ที่เฉพาะเจาะจงในการรักษาความสงบ หรืออำนาจหน้าที่ในการเป็นแม่ทัพของกองทหาร ที่ตั้งอยู่ในเขตที่เป็นอันตรายที่เห็นได้ว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ฉะนั้นแม้แต่กองทัพภาคที่ 1 ก็สามารถประกาศกฎอัยการศึกห้ามรัฐบาลไม่ให้ออกไป โดยเชิญให้พวกเรากลับไปพักผ่อนได้ เพื่อที่จะรักษาความราบรื่นในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งกองทัพสามารถทำได้ แต่กองทัพต้องใช้ความกล้าหาญ และถือประโยชน์สูงสุดของชาติ รวมทั้งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของสถาบัน และประชาชน
“กองทัพจะทำเฉยไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเสียฟอร์ม และต่อไปจะไม่มีใครเชื่อถือ และถ้าไม่มีใครเชื่อถือ ต่างคนก็ต่างไปตั้งกองกำลัง หรือจัดหาทหารของตัวเอง อีกทั้งจะทำให้ตำรวจก็ไม่เชื่อถือ เหมือนในสมัยก่อนทหารยศนายสิบ 4-5 คน ไปพังป้อมตำรวจ แต่ตำรวจก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ที่สำคัญ ศาสตราจารย์ พ.อ.ชวัตร พิสุทธิพันธ์ ซึ่งเป็นทหารม้า เหล่าเดียวกับจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม และเป็นครูของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่โรงเรียนนายร้อย ซึ่งท่านเคยเขียนเอาไว้ว่า ความอ่อนแอเป็นสัญญาณทำให้ชาติล่มสลาย โดยผู้นำกองทัพไม่ปฏิบัติภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือนายกรัฐมนตรี เพราะเห็นแก่งบประมาณ ฉะนั้นกองทัพแห่งชาติจึงมีอำนาจอย่างสมบูรณ์ที่จะกำจัดสภาวะอนาธิปไตยอย่างเด็ดขาด ถือเป็นการทำลายซากเดนระบบทรราชให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยให้เร็วที่สุด” ดร.ปราโมทย์ ระบุ
ดร.ปราโมทย์ กล่าวต่อว่า ส่วนการทำลายซากเดนระบบทรราชนั้น กองทัพจะต้องใช้ยุทธศาสตร์ทางการทหารอย่างมีขั้นตอน และระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน ซึ่งก็คือการสถาปนาระบบประชาธิปไตยให้ปรากฏเป็นจริง โดยจะต้องแยกตัวบุคคลกับระบบออกจากกัน และต้องจับตัวบุคคลซึ่งถือเป็นอาชญากรทางการเมืองมาลงโทษอย่างเด็ดขาดตามกระบวนการยุติธรรม และต้องป้องกันไม่ให้หลบหนี พร้อมกับขุดรากถอนโคนซากเดนระบบทรราชให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยอย่างรวดเร็ว และไม่ลดละ
“นักธุรกิจที่ไม่ต้องการให้ทหารออกมาเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองนั้น เป็นเพราะบุคคลเหล่านั้นยังยังไม่เข้าใจบทบาทของทหารในประเทศประชาธิปไตย เพราะการใช้กำลังของทหาร ซึ่งเป็นการใช้อำนาจเผด็จการชั่วคราวเพื่อสร้างประชาธิปไตย โดยจะเห็นได้จากบทบาทของทหารในประเทศโปรตุเกส และประเทศตุรกีนั้น เขายืนอยู่ข้างประชาชน เพื่อสร้างประชาธิปไตย และทำลายเผด็จการของพรรคการเมืองพลเรือนที่เป็นเผด็จการ ทำให้ยุโรปสมัยนี้ ยืนยงคงกระพันอยู่ได้ และเป็นประชาธิปไตยตลอดมา ผมเกลียดตัวเองทุกครั้งที่ทำนายทุกครั้งว่า จะเกิดเหตุการณ์นองเลือด นั่นเป็นเพราะความไม่เอาไหนของทหารที่ไม่มีความกล้าหาญ และความไม่เอาไหนระบบราชการ และความไม่เอาไหนของประชาชน เพราะเราไม่ร่วมมือกัน” ดร.ปราโมทย์ กล่าว
ดร.ปราโมทย์ กล่าวต่อว่า เรายังเชื่อทหาร เราจึงไม่ไปจับอาวุธเอง แต่ยังมีกลุ่มคนที่ประกาศว่ากษัตริย์ของเขามีอยู่แค่ 3 องค์เท่านั้น และยังมีคนที่เหยียบย่ำสถาบันกษัตริย์โดยการไปชุมนุมที่ท้องสนามหลวง มิหนำซ้ำตำรวจยังอำนวยความสะดวกให้มีการขนอาวุธ รวมทั้งผู้ว่าราชการการซึ่งรอการแต่งตั้ง ยังอำนวยความสะดวกในการขนคนเข้าร่วมชุมนุมเป็นหมื่นเป็นแสนคน นั่นคือการท้าทายว่า ทหารมีน้ำยาหรือไม่ หรือทหารจะวิ่งหางจุกตูดไปเข้าข้างเขา ฉะนั้นทหารจึงไม่มีเวลาที่จะรีรอต่อไปอีกแล้ว